วิกิซอร์ซ
thwikisource
https://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81
MediaWiki 1.39.0-wmf.21
first-letter
สื่อ
พิเศษ
พูดคุย
ผู้ใช้
คุยกับผู้ใช้
วิกิซอร์ซ
คุยเรื่องวิกิซอร์ซ
ไฟล์
คุยเรื่องไฟล์
มีเดียวิกิ
คุยเรื่องมีเดียวิกิ
แม่แบบ
คุยเรื่องแม่แบบ
วิธีใช้
คุยเรื่องวิธีใช้
หมวดหมู่
คุยเรื่องหมวดหมู่
สถานีย่อย
คุยเรื่องสถานีย่อย
ผู้สร้างสรรค์
คุยเรื่องผู้สร้างสรรค์
งานแปล
คุยเรื่องงานแปล
หน้า
คุยเรื่องหน้า
ดัชนี
คุยเรื่องดัชนี
TimedText
TimedText talk
มอดูล
คุยเรื่องมอดูล
Gadget
Gadget talk
Gadget definition
Gadget definition talk
พระพุทธเจ้าหลวงทรงวิจารณ์หนังสือพิมพ์
0
6835
188015
57227
2022-07-23T23:29:36Z
Miwako Sato
4619
+ {{no source}}
wikitext
text/x-wiki
{{no source}}
{{หัวเรื่อง
|ชื่อเรื่อง=ทรงวิจารณ์หนังสือพิมพ์
|ชื่อเรื่องย่อย=
|วิกิพีเดียชื่อเรื่อง=
|พระราชนิพนธ์=พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
|พระนิพนธ์=
|ผู้แต่ง=
|ผู้แต่งไม่ลิงก์=
|วิกิพีเดียผู้แต่ง=พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
|เรื่องก่อนหน้า=
|เรื่องถัดไป=
|ก่อนหน้า=
|ถัดไป=
|หมายเหตุ=
}}
==พระพุทธเจ้าหลวงทรงวิจารณ์หนังสือพิมพ์==
''พระราชหัตถเลขานี้ได้ทรงมีถึงเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เมื่อยังเป็นที่พระยาไพศาลศิลปศาสตร์ ตำแหน่งเจ้ากรมตรวจการศึกษาในกระทรวงธรรมการเมื่อ พ.ศ. 2453 ก่อนเสด็จสวรรคตไม่นาน โดยมีเนื้อความเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ในขณะนั้น โดยหนังสือพิมพ์แนวหน้าฉบับพิเศษวันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2527 ได้อัญเชิญนำมาลงไว้ พร้อมสำเนาหนังสือกราบบังคมทูลของพระยาไพศาลศิลปศาสตร์ โดยใช้หัวเรื่องว่า “พระพุทธเจ้าหลวงทรงวิจารณ์หนังสือพิมพ์” ดังปรากฏข้างต้น''
===ฉบับที่ 1===
สวนดุสิต
:วันที่ 4 กรกฎาคม รัตนโกสินทรศก 129 (พ.ศ. 2453)
พระยาไพศาล
หนังสือที่พิสมัยนำมาให้ดู 2 เล่ม ได้อ่านทันทีแต่เล่มเดียว วิทยาจารย์อ่านค้างมาที่ละน้อยๆ เพิ่งสำเร็จลง ได้เห็นแล้วว่าจัดการเดินเข้าถูกรอย ไม่เป็นปลูกต้นมะฮอกกานีในกระถาง เหตุที่กล่าวเช่นนั้น ได้แก่หวังจะสอนความรู้ที่ดี ไม่มีความรู้ชั้นต่ำแพร่หลายทั่วไปเหมือนภูมิพื้นแผ่นดิน แล้วจึงค่อยเลือกคัดขึ้นมา เมื่อควรจะดีถึงยอดได้เพียงใดก็จะได้โดยแม่นยำ ไม่เหมือนสอนตอนยอดไม่มีภาคพื้นซึ่งจะลงทุนไปได้เท่าใด ความรู้ไม่แพร่หลาย ติดอยู่ในแผ่นดินตายสูญไปกับชีวิตมนุษย์ อาการสั่งสอนเช่นนั้นซึ่งกล่าวว่า ปลูกต้นมะฮอกกานีในกระถาง
อนึ่ง อยากจะบอกให้รู้ความรำคาญใจอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งน่าจะมีผู้เข้าใจว่าอยากจะให้ใช้ศัพท์ไทยไม่ใช้ศัพท์ฝรั่ง เช่นได้ตักเตือนไปยังกระทรวงด้วยคำว่า เทอม จะเข้าใจไปว่ารังเกียจคำต่างประเทศ อยากจะให้ใช้คำไทยเท่านั้น ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ถ้าคำที่จะใช้สำหรับคนสามัญเข้าใจทั่วไป เช่นประกาศกำหนดเวลาเรียน คนที่จะไม่รู้จักคำว่าเทอมนั้นมาก จึงแนะนำไปให้หาคำอื่นใช้ให้คนทั้งปวงเข้าใจง่าย แต่บางทีคำที่มาคิดขึ้นใหม่จากภาษาสันสกฤตภาษามคธ ซึ่งเป็นคำแปลกๆ ไม่ใคร่เคยได้ยิน จำยากกว่าภาษาอังกฤษ เช่นนี้ ไม่เป็นประโยชน์อันใด ถ้าพูดกันเองในชั้นผู้รู้ภาษาต่างประเทศไม่มีความรังเกียจ
ข้อซึ่ง ไม่ชอบแท้นั้น คือ สำแดงความโง่ของกรมศึกษา เช่นในหนังสือวิทยาจารย์ เล่ม 10 ตอน 8 วันที่ 15 เมษายน หน้า 313 มีคำเรียกชาติแขกว่า แตมิลู แล้วมีหมึกแดงฆ่าตีนอู เหลือแต่ แตมิล นี่เป็นความเขลา ซึ่งปรากฏในตำราเรียน ฤาข่าวของกรมศึกษา เพราะแขกชาตินี้ เรารู้จักมาแต่ไหนแต่ไร จนเป็นคำด่า นับว่าเป็นผรุสวาทมีในภาษามคธแลที่แปลเป็นภาษาไทยเป็นอันมากกว่า ทมิฬ ให้ดูพงศาวดารลังกา เสียงเอกอย่างฝรั่งโง่ เพราะหลงฝรั่งเช่นนี้เป็นที่เดือนร้อนรำคาญ ถ้าหากว่าจะอยากอวดดีจะว่าอังกฤษเขาเรียกแตมิล ซึ่งไทยเราเคยใช้ว่าทมิฬ เช่นนั้นก็ยังจะค่อยเป็นภูมิรู้สึกหน่อยหนึ่ง นี่เป็นตัวอย่างที่ยกขึ้นให้เห็นแต่เรื่องเดียว ยังมีอื่น ๆ อีกมาก เช่น เวียงจันทร์ เรียก เวียนเทียน ตามภาษาญวน ปากน้ำเซ เรียก ปักเส เมืองเมาะตมะ เรียก มาตาบาน เมืองทวาย เรียก ตีวอย เมืองตนาวศรี เรียก เตนแนสเซอริม ยังเมืองพม่า เมืองจีน บรรดาที่มีชื่ออยู่ในพงศาวดารแลในหนังสือไทย กลับเรียกตามเสียงฝรั่งไปหมด เช่น เมืองอ้ายมุ่ย เรียกเอมอย เมืองเซียงไฮ้ เรียกแซงไค เป็นต้น หนักกว่าหนักนี้เรื่องทนไม่ไหว ถ้าพยายามจะพูดฝรั่งเดี๋ยวนี้ว่าไอเดนติไฟ ชื่อเมืองที่เคยมีในภาษาไทย ให้ใช้ภาษาไทย อย่าให้จดหมายแลพงศาวดารแตกสูญเสียได้จะดี ถ้าขืนเอาอย่างฝรั่งตะพัดตะเพิดไปจะหลง ไม่รู้หัวนอนปลายตีน เมืองเก่าๆ ที่เรียกชื่อไว้ในหนังสือ จะกลายเป็นเรื่องพระอไภยไปหมด พาให้นักเรียนโง่ไปแน่แล้ว การเช่นนี้มีจนกระทั่งในกรุงเทพฯ เช่น หัวลำโพง ฝรั่งเรียกไม่ชัด ไทยเราพลอยเรียกตามว่าวัวลำพอง นี่เป็นเรื่องที่ควรจะฟาดเคราะห์จริงๆ ในวิทยาจารย์มีเรื่องเช่นนี้มากหลายแห่ง แต่ไม่ได้จดจำไว้ที่สำหรับจะยกขึ้นกล่าวในเวลานี้
(พระบรมนามาภิไธย) '''สยามินทร์'''
===ฉบับที่ 2===
สวนดุสิต
:วันที่ 19 กรกฎาคม รัตนโกสินทรศก 129
ถึง พระยาไพศาล
นี่แหละที่จะอดกลั้นแล้ว รู้สึกคันอยู่ในเนื้อที่หนาๆ เช่น ซ่นเท้า เกาไม่ถึงก็ปานกัน คือหนังสือกรุงเทพฯ เดลิเมล์ ออกเมื่อวานนี้ วันที่ 18 แต่ในหนังสือนั้นเอง ลงวันที่ 19 เล่าว่า มีคนไปจากเมืองไทยอยู่อเมริกา ชื่อจีนเอง จีนแฉ่ง เป็นฝาแฝด ดังนี้เขาเล่าสำหรับให้เป็นประโยชน์แก่คนไทย ซึ่งไม่มีใครรู้ ให้รู้ไว้ ด้วยชาติอื่น ภาษาอื่นเขารู้กันหมดเป็นเรื่องโด่งดัง แต่เราเจ้าของเองไม่รู้ เขามีสติปัญญาได้เรียนหนังสือฝรั่ง รู้ภาษาฝรั่ง แปลได้ ได้กระทำสงเคราะห์ญาติชาติภูมิเช่นนี้
เป็นน่าพิศวงด้วยนักเรียนชั้นแผ่นดินพระจุลจอมเกล้านี้ ความรู้หูตาแลความคิดช่างคับแคบราวกับรูเข็ม ไม่รู้ไม่เห็นการอะไรเกิน 3 ปีขึ้นไป พูดไทยก็ไม่ชัดเป็นอันมาก เพราะถ้าจะพูดออกมาให้ชัดสำเนียงฝรั่งจะแปร่ง แลการที่จะคะเนเดาอะไรต่างๆ นั้นก็เกี่ยวกับด้วยภูมิปัญญา
แต่เรื่องนี้พ่อนักเรียนชั้นใหม่ผิดแน่ละ เด็กอมมือมันก็รู้เรื่องแฝดคู่นี้ เพราะหนังสือเรื่องเมืองไทยจะไม่มีคนแฝดนี้ไม่ได้ คนไทยเราก็ไปพบที่อเมริกา เขาชื่ออินคนหนึ่ง จันคนหนึ่ง แต่เพราะเรียกภาษาฝรั่ง อิน จัน ไม่ชัด จึงเป็น เอง แฉ่ง เมื่อเป็นเองแฉ่งไปแล้ว หน้าตาสมเป็นเจ๊ก ก็ติดหางหนูให้เสียด้วย
นี่แหละจะเป็นนักเรียนของพระยาไพศาลฤามิใช่ ไม่มีใครจำโนทย์โจทนา แต่มันคันไม่รู้จะเกาทางไหน ก็กล่าวโทษพระยาไพศาลไปตามที่เคย เคยกล่าวมาแล้วเรื่องเรียกชื่อตามสำเนียงฝรั่ง
(พระบรมนามาภิไธย) '''สยามินทร์'''
===ฉบับที่ 3===
(สำเนา)
:วันที่ เดือน ร.ศ. 129
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
พระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 19 เดือนนี้ พระราชทานพระบรมราชกระแส เรื่องหนังสือพิมพ์กรุงเทพฯ เดลิเมล์ อวดอ้างทำเป็นที่หนึ่งว่า สงเคราะห์ญาติชาติภูมิ แต่กลับเป็นสำแดงความเขลาความคับแคบของตัวเองนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้รับทราบเกล้าฯ ทุกประการแล้ว พระมหากรุณาเป็นล้นเกล้าฯ
ข้าพระพุทธเจ้าได้สืบทราบความตลอดว่า เอดิเตอร์ของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ เป็นนักเรียนโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบรุ่นก่อนข้าพระพุทธเจ้า ได้สอบไล่ประโยค 2 ได้แต่รัตนโกสินทรศก 108 แลได้ออกรับราชการมาแล้วหลายกระทรวง ได้เคยอยู่กรมราชเลขานุการ แล้วในที่สุดไปอยู่กรมเจ้าท่า เที่ยวเร่ร่อนจับจดอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งตกมาเป็นเอดิเตอร์หนังสือพิมพ์สยามออบเซอร์เวอร์ แล้วมาเป็นเอดิเตอร์หนังสือพิมพ์กรุงเทพฯ เดลิเมล์ รู้ภาษาอังกฤษบ้างเล็กน้อยไม่ได้เคยเรียนในโรงเรียน แต่มีคนครึ่งชาติเป็นกำลังช่วยในการแปลอยู่คนหนึ่ง เมื่อพบกับข้าพระพุทธเจ้าก็ได้สารภาพว่า เป็นผู้กะให้แปลและเป็นผู้ตรวจแก้เอง แต่พลอยตื้นไปตามผู้ช่วย จะขอลงแก้ไม่ให้เป็นการลวงเด็กที่เกิดชั้นหลังๆ ให้หลงผิดต่อไป
คนเช่นนี้ข้าพระพุทธเจ้าคิดด้วยเกล้าฯ ว่า คงจะมีได้อีกหลายคน แต่เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ที่ได้เล่าเรียนทั้งหมดแล้ว หวังด้วยเกล้าฯ ว่าจะเป็นแต่ส่วนน้อยนิดเดียว ถ้ามีมากก็จะยิ่งเพิ่มความลำบากในการฝึกสอนเด็กชั้นเล็กๆ ต่อไปไม่ใช่น้อย เพราะนักเรียนจำจะต้องเป็นผู้ได้อ่านได้ฟังเป็นลำดับไป ถ้าไปอ่านหรือฟังที่ผิด ก็จะพลอยหลงผิดแลเขลาไปตามกันด้วย
ความข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้มีวิตกอยู่มาก ยิ่งขยายการเล่าเรียนให้แพร่หลาย จำนวนครูจะต้องทวีขึ้นโดยรวดเร็ว ครูที่ความรู้อ่อนคงจะมีมากต่อมาก การจัดจำต้องแลให้กว้างแลไกล ข้าพระพุทธเจ้าได้พยายามเต็มสติกำลังภายในหน้าที่แลความสามารถที่จะทำได้ แม้กระนั้น พระราชอาญาก็คงไม่พ้นเกล้าฯ
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
(ลงนาม) ข้าพระพุทธเจ้า พระยาไพศาลศิลปศาสตร์
ขอเดชะ
===ฉบับที่ 4===
สวนดุสิต
:วันที่ 21 กรกฎาคม รัตนโกสินทรศก 129
พระยาไพศาล
ได้รับจดหมายตอบเรื่องเอดิเตอร์หนังสือเดลิเมล์ ได้ทราบแล้วซึ่งอุตส่าห์ไปสืบสวนให้รู้เรื่องนั้นเป็นที่พอใจ ความจริงไม่ได้คิดจะผูกพันเอาเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบแต่มันคันกระดิบๆ พอที่จะพูดกับเจ้าเสียให้ทุเลาคันก็พูด ขออย่าถือว่าต้องรับผิดรับชอบทั่วไป ซึ่งเป็นการเหลือบ่ากว่าแรงอยู่เอง ขอไว้แต่เพียงว่าถ้าคันขึ้นมาให้ได้แก้คันพอเป็นที่สำหรับปรึกษาปรารภ สำหรับที่จะได้ป้องกันการข้างหน้าเท่านั้น
(พระบรมนามาภิไธย) '''สยามินทร์'''
===ฉบับที่ 5===
สวนดุสิต
:วันที่ 6 สิงหาคม รัตนโกสินทรศก 129
พระยาไพศาล
การโต้เถียงกันด้วยเรื่องกรมศึกษาเรียกค่าเล่าเรียนในหนังสือพิมพ์ ลงมาไม่หยุดนานแล้ว วันนี้มีผู้ใดลงหนังสือพิมพ์ไทยเซ็นชื่อปรวาที ค่อยเข้ารูป
จริงอยู่ถ้อยคำของคนที่ลงพิมพ์นี้ เป็นผู้ที่มีความรู้เกิดขึ้นทางหูได้ยินแว่วๆ แล้ว เดาผสมเป็นพื้น ไม่ใช่มีความรู้กว้างขวางอันใดส่วนความคิดนั้นเล่า ก็คิดไปตามการซึ่งมาปรากฏเฉพาะนัยน์ตา ได้เคยเห็นดีเพียงไหนก็คิดว่าดีที่สุดเพียงนั้น คนที่แต่งหนังสือส่งไปลงพิมพ์เป็นคนเช่นนี้โดยมาก จึงไม่น่าจะควรถือเอาเป็นข้อคำนึง แต่ก่อนมาพระบรมราโชบายอันใดที่จะทำไป ไม่ใคร่จะได้แสดงให้ราษฎรทราบเพราะเหตุว่า ถึงทราบก็ปราศจากความคิดฤากลับคิดเห็นการให้ผิดไปโดยมิได้แถลง เพราะความไม่เข้าใจเป็นที่ตั้ง จึงเป็นธรรมเนียมใช้นิ่งเสีย ไม่บอกว่ากระไร จัดไปทำไปทีเดียว ผิดกับประเทศอื่นๆ
การซึ่งได้ให้บอกเล่า เช่นหมอตรวจว่า ข้าวขาวเป็นเหตุให้เกิดโรคบวม รัฐบาลอังกฤษถามมาว่า เราจะมีความคิดอย่างไรบ้าง ตัวข้าเองเป็นผู้ได้โกรธหมดไฮเอ็ตตั้งแต่เมื่อกลับมาจากประชุมเมืองมนิลาว่าไปเอออวยกับเขา เมื่อยังมิได้ทดลองให้เห็นจริงแน่นอนเลย เห็นว่าเป็นเหตุที่จะให้สะดุ้งสะเทือนในการค้าขาย จึงให้กระทรวงเกษตรออกเซอร์คูลาร์ให้โรงสีทั้งปวงทราบถามความเห็นว่าเขาเห็นอย่างไร แลคิดอ่านให้จัดการทดลองในกระทรวงเกษตร เซอร์คูลาร์อันนี้เองมีคนเข้าใจว่า รัฐบาลห้ามไม่ให้สีข้าวขาวเสียแล้ว การพูดให้คนทราบยากที่จะทำให้เข้าใจ แม้แต่ในพวกพ่อค้าซึ่งคล่องแคล่วกว่าคนธรรมดาเป็นอันมาก ยังมีผู้เข้าใจผิดเช่นนี้ได้ เพราะฉะนั้น แต่ก่อนมาจึงไม่ใคร่จะบอกให้รู้เสียทีเดียว
แต่บัดนี้มีความคิดเห็นอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในใจ ว่าในเมืองเรานี้มีคนจำพวกหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีความรู้เล่าเรียนมาแต่เล็กแต่น้อย แต่ทำท่าคึกคักเหมือนรู้อะไรต่ออะไรพอพูดโวไปกับเขาได้ พวกนี้ได้ความรู้มาจากไหนจากคำที่โจษกัน ฟังคนนั้นพูดนิดคนนี้พูดหน่อย แต่น่าจะได้จากหนังสือพิมพ์เสียเป็นพื้น จึงมีความสงสัยว่าหนังสือพิมพ์นี้ไม่มีประโยชน์ที่จะถึงนำปับลิคโอปีเนียนให้เด่นตามก็จริงอยู่ แต่พวกที่หาความรู้ร่อน ๆ น่ากลัวจะเรียนจากหนังสือพิมพ์มากกระมัง บางคราวจึงเกิดรำคาญ เมื่อสำแดงความโง่ออกมา มีท่าทางที่จะชักพาให้คนอื่นคิดตาม แล้วไม่มีผู้ใดแก้ ก็ดูเหมือนความคิดนั้นถูก ก็ยิ่งจะชักพาคนพวกนั้นงมเงาหนักลงไปจึงเห็นว่า ถ้าหากว่าหนังสือพิมพ์ลงเฉไฉนัก น่าที่เจ้าพนักงานในกระทรวงนั้นจะแก้ไขบอกความจริงเสีย อย่าปล่อยให้ความเข้าใจผิดคิดอยู่ในหนังสือเปล่า ๆ เป็นอันได้ทำการสั่งสอน พวกเรียนด้วยหูด้วยตา ให้คิดอะไรใกล้ข้างถูกขึ้นในเวลานี้คนพวกนั้นยังมีอยู่มาก ซึ่งคงจะหมดไป จริงอยู่ แลคนพวกนั้นมักจะเป็นคนที่ฝรั่งเรียกเอปปิวปล หูตาว่องไว จึงได้ก้อรอก้อกางอยู่ได้ ถ้าสะกดให้รู้จักทางถูกเสียสักเล็กน้อย บางทีจะเป็นผลดีได้บ้างกระมัง
เช่นการเล่าเรียนที่หลงไปว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลจะหาคนใช้ไม่ใช่หน้าที่ของคนทั้งปวง ซึ่งจะต้องฝึกหัดตัวของตัวในวิชาความรู้เพราะเป็นที่ตั้งแห่งความประพฤติดีความสุขแบบโภคทรัพย์ ตามทางที่พูดๆ กันอยู่ในเวลานี้ ว่าโดยย่อ ก็เรียนเป็นเสมียนซึ่งหวังใจว่าจะคืบขึ้นไปเป็นเสนาบดีด้วยกันทั้งหมด ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวที่จะปลูกฝังตัวเองให้เป็นพลเมืองคนหนึ่ง ซึ่งมีความรู้แลทางหากินเสมอเหมือนพลเมืองประเทศอื่น
แลทำให้ความคิดแคบสั้น และดูเฉพาะหมู่เฉพาะเหล่า เพราะตั้งต้นจะสั่งสอนไว้ สำหรับให้ทำราชการเหมือนอย่างกับคิดหัดละครโรงหนึ่ง ให้ได้คนพอเล่นละครก็แล้วกันให้ได้ การเล่าเรียนของรัฐบาลจัดเหมือนหนึ่งว่า ถ้าเดินไปพอได้ คนพอทำราชการไม่ขัดสนแล้ว ก็เป็นอันยุติ หมดความรู้ของผู้ที่เรียนด้วยตาด้วยหูร่อนๆ กันอยู่เพียงเท่านั้น ความคิดที่จะคิดว่าทำไฉนจะให้คนทั้งพระราชอาณาเขตได้มีโอกาสเล่าเรียนให้ทั่วถึงเช่นนี้ ไม่เคยมีปรากฏแก่ญาณของพวกเหล่านั้นเลย
จึงเห็นว่ากรมศึกษาเองน่าจะดำเนินความคิดอันนี้ เพาะปลูกความคิดของคนให้รู้จักหน้าที่ของตัว แลรู้จักความคิดกว้างขวาง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งชาติทั้งประเทศ แต่ถ้าเป็นตำราก็ไม่อ่าน พวกนักเรียนหูนักเรียนตาเหล่านี้ เขามักจะหาความรู้ด้วยโฉบเอา เพราะมีทิฐิว่าไม่เป็นศิษย์ใคร ตรัสรู้เองเสียแล้วดังนี้เป็นที่ตั้ง จึงต้องเหมือนโยนข้าวปั้นให้ไปให้โฉบอย่างกาจะดีฤาร้ายอย่างไรบอกไม่ได้แน่ นึกในใจขึ้นมาเช่นนี้ก็พูดไปแก่เจ้าดูที เพราะเหตุที่มันเป็นความคิดนอกทางอยู่ จึงไม่ส่งไปยังกระทรวง พูดถึงเจ้าเพื่อจะไม่ให้เป็นทางราชการ
(พระบรมนามาภิไธย) '''สยามินทร์'''
===ฉบับที่ 6===
(สำเนา)
:วันที่ 7 สิงหาคม ร.ศ. 129
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชทานพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 6 เดือนนี้ พระราชทานพระราชปรารภเรื่องการโต้เถียงกันด้วยเรื่องกรมศึกษาเรียกค่าเล่าเรียนในหนังสือพิมพ์ ซึ่งได้มีมาไม่หยุดหย่อนนั้นแล้ว พระมหากรุณาเป็นล้นเกล้าฯ หาที่สุดมิได้
ความเป็นไปในเรื่องหนังสือพิมพ์ แลคนที่ได้ความรู้ความคิดจากการฟังเกี่ยวข้องด้วยหนังสือพิมพ์อยู่เป็นพื้นในทุกวันนี้นั้น ต้องด้วยพระราชกระแสทุกประการ เรื่องโต้เถียงกันต่างๆ นี้ ไม่ใช่อื่นไกล เกิดแต่ความไม่เข้าใจตลอดอย่างเดียว ในชั้นเดิมถ้าได้มีประกาศรับพระบรมราชโองการอธิบายความประสงค์ในการเรียกค่าเล่าเรียนนี้ให้ชัดเจน และประกาศให้แพร่หลายแล้ว เชื่อด้วยเกล้าฯ ว่าน่าจะไม่ต้องมีปากเสียงกันเหมือนเช่นนี้ แต่ประกาศที่ได้ออกความเห็นได้เห็นแต่ข่าวในหนังสือพิมพ์ ซึ่งผู้เขียนข่าวก็ไม่สามารถทราบเหตุผลตลอดเหมือนกันกับบางทีจะได้ทราบจากบุตรหลานที่เป็นนักเรียนอยู่บ้าง
ก็ออกความเห็นเขาไปต่าง ๆ สังเกตดูในหนังสือพิมพ์แผนกภาษาต่างประเทศ ก็ไม่เห็นมีข้อคัดค้านอย่างใด มีตกอยู่แต่ในส่วนภาษาไทยเท่านั้น ความจงรักภักดีของราษฎรทั้งหลายต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทและความเชื่อถือไว้ในพระบรมราโชบาย ยากที่จะหาราษฎรของประเทศอื่นเปรียบได้เพียงใด ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานยืนยันได้ผู้หนึ่ง เพราะฉะนั้น ในเรื่องเช่นนี้ ในชั้นต้นถึงแม้ว่าเป็นการยากที่จะให้คนทั้งหลายเข้าใจเหตุผลได้ทั่วกันก็ดี เพียงแต่เป็นประกาศดำเนินกระแสพระบรมราชโองการเท่านั้นก็พอเสียแล้ว
ความเห็นในหนังสือพิมพ์เหล่านี้ ได้ให้ข้าพระพุทธเจ้าแลเจ้าหน้าที่ทั้งหลายกระวนกระวายอยู่เสมอ หากติดด้วยปอลิซีของราชการ จึงมิได้มีการแก้ไขตลอดมา ถึงกระนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็ได้พยายามทางอ้อม ได้พบพูดแลเขียนชี้แจงถึงเอดิเตอร์เป็นไปรเวตอยู่เนืองๆ แต่คิดด้วยเกล้าฯ ว่าสู้พูดแลจัดเป็นทางราชการโดยตรงไม่ได้ เพราะการทั้งนี้อาจให้ผลเป็นเสื่อมเสียแก่ผู้อ่านผู้ฟังดังพระราชปรารภได้เป็นอันมาก เพราะฉะนั้นเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ถ้าได้มีประกาศกระทรวงธรรมการ หรือกรมศึกษาธิการอธิบายความให้ชัดเจนในหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับ แล้วกำชับเอดิเตอร์ให้แข็งแรง การก็คงจะสำเร็จเรียบร้อยได้
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
(ลงนาม) ข้าพระพุทธเจ้า พระยาไพศาลศิลปะศาสตร์
ขอเดชะ
===ฉบับที่ 7===
สวนดุสิต
:วันที่ 7 สิงหาคม รัตนโกสินทรศก 129
พระยาไพศาล
ได้รับหนังสือตอบของเจ้าแล้ว ความคิดเป็นหลักฐานถูกต้องดีนัก ได้จดหมายสั่งไปยังพระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ฉบับหนึ่ง ให้คิดร่างประกาศให้เจ้าช่วยกันเรียบเรียงให้ดีข้อความในประเทศญี่ปุ่นต้นสมุดเรื่องเอดูเคชันเมืองญี่ปุ่นลงเนื้อความกันกับเมืองเราได้ดี เรื่องราวนั้นก็เป็นเหมือนกัน แต่ต่างด้วยกาลเทศะ ฝ่ายประเทศเขาแบ่งคนเป็นสี่ตระกูล สือ หลง คงเสี่ยง ผู้ที่ถือว่าต้องเรียนแต่สือพวกเดียว แต่สือต้องเรียนก็ว่าเพราะประโยชน์ของรัฐบาล เพียงให้รัฐบาลใช้เงินเขาจึงประกาศว่าไม่เฉพาะแต่สือ ให้เรียนทั่วกันหมดแลเป็นหน้าที่ของคนทั่วไปจะต้องหาวิชาใส่ตัว
ฝ่ายเมืองเราถึงไม่ได้จำกัดพวกใด แต่ผู้เรียนรู้สึกเสียว่าสำหรับประโยชน์ราชการ ฤาประโยชน์ตนอันจะได้ทำราชการความก็เป็นอันรูปเดียวกันนั่นเอง แต่ฝ่ายเขาดูเหมือนจะมีผู้เข้าใจการแข่งขันในระหว่างพลเมืองเขาต่อพลเมืองชาติอื่น แต่ข้างเรานั้นไม่มีเสียเลย ถ้าขึ้นชื่อว่าฝรั่งแล้วก็ยอมแพ้ตายราบ ถ้าเจ๊กก็ดูถูกหนักไปแลเกินไปเสียทั้ง 2 อย่าง จนจะตกเป็นเย่อหยิ่งไม่เอาการ นี่เป็นข้อที่เดือดเนื้อร้อนใจอยู่มาก ถ้าหากว่าเรียงคำประกาศสะกิดให้เป็นทางความคิด อย่าให้แหลมเฉียบขาดถึงยุฤายั่วมากนัก แต่พอให้รู้เค้า ๆ ได้ น่าจะชักนำใจคนให้ดีขึ้น
(พระบรมนามาภิไธย) '''สยามินทร์'''
[[หมวดหมู่:พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์]]
ehajgcwjvmblue6nicuuh6tgkamfty0
ไฟล์:บทสวดพระธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร.ogg
6
15624
188014
35315
2022-07-23T23:27:28Z
Miwako Sato
4619
แจ้งลบด้วย[[WS:iScript|สจห.]]: ท6 - งานจัดทำขึ้นยังไม่ถึง 50 ปี + ที่ระบุว่า เป็นธรรมทาน ก็ไม่ได้หมายความว่า ปลอดลิขสิทธิ์ เพราะปกติมักจำกัดเรื่องการค้า การขออนุญาต ฯลฯ (แต่เว็บไซต์ที่ระบุไว้ก็พังหมดแล้ว ทำให้ตรวจสอบไม่ได้)
wikitext
text/x-wiki
{{ลบ|ท6 - งานจัดทำขึ้นยังไม่ถึง 50 ปี + ที่ระบุว่า เป็นธรรมทาน ก็ไม่ได้หมายความว่า ปลอดลิขสิทธิ์ เพราะปกติมักจำกัดเรื่องการค้า การขออนุญาต ฯลฯ (แต่เว็บไซต์ที่ระบุไว้ก็พังหมดแล้ว ทำให้ตรวจสอบไม่ได้)}}
== คำอธิบายโดยย่อ ==
{{nonfreeimage
| คำอธิบายภาพ = บทสวดพระธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร
| เจ้าของลิขสิทธิ์ = หมดลิขสิทธิ์, <br>'''วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก''' ผู้จัดทำแจกเป็นธรรมทาน (สาธารณสมบัติ-หมดลิขสิทธิ์) <br>สวดนำโดย'''พระเทพญาณวิศิษฏ์''' เจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก กรุงเทพมหานคร <br>เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๔ รอบ ๔๘ พรรษา
| เว็บไซต์ที่มา = http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=mantras&group=16 , http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=15846
| เหตุผลในการใช้ภาพ = ประกอบบทความ [[ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง]]
}}
4bvbmtvh3r3c5lcb79g6e8jtyaryrqm
กลอนรักเรา
0
16526
188016
39323
2022-07-23T23:35:47Z
Miwako Sato
4619
แจ้งลบด้วย[[WS:iScript|สจห.]]: 1=ท6 - ศิษย์ใหม่ไร้วิชา ยังไม่ตาย (เพราะยังมีผลงานในปี 2556 จาก[https://www.homelittlegirl.com/index.php?topic=991 กระทู้นี้]) หรือถ้าตายในปี 2556 นั้นเอง ก็ยังไม่ถึง 50 ปี
wikitext
text/x-wiki
{{ลบ|1=ท6 - ศิษย์ใหม่ไร้วิชา ยังไม่ตาย (เพราะยังมีผลงานในปี 2556 จาก[https://www.homelittlegirl.com/index.php?topic=991 กระทู้นี้]) หรือถ้าตายในปี 2556 นั้นเอง ก็ยังไม่ถึง 50 ปี}}
'''กลอนรักเรา''' เป็นกลอนหกที่ทุกคำขึ้นต้นด้วยเสียง ร ผู้ประพันธ์ใช้นามแฝงว่า ''ศิษย์ใหม่ไร้วิชา''
:ริรัก เรียมรู้ รอรี
:เรียงร้อย ริกรี้ ร่ำร้อง
:โรครัก รานรอน รังรอง
:แรมไร้ รอยร่อง รักเรา
::แรกรัก ราบรื่น เร็วรี่
::เรไร ริกรี้ รุ่มเร้า
::รุ่นรอง รุกราน รักเรา
::เร่าเร่า โรยร้าง แรมรา
:รักเรา ร้าวราน โรยร่วง
:เรไร รานรวง รังร้า
:เร่เรียง ร้ายรัก เรียวรา
:ร่านรัก เริงร่า โรยรอง
::เรียมรวน ไร้รัก แรมรัง
::เร่ร่อน รู้รั้ง ร่ำร้อง
::เร่งรุด รับรัก รังรอง
::ร่าเริง เรืองร่อง รักเรา
[[หมวดหมู่:กลอนหก]]
b4qpgg81qjp2e24ptxkqvbre74a66nk
คำพิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ในคดีหมายเลขแดงที่ ๓๔๘๓-๓๔๘๕/๒๕๕๔
0
18123
188017
186680
2022-07-24T02:41:17Z
ชาวไทย
5763
/* เชิงอรรถ */ ใส่อนุมาตรา
wikitext
text/x-wiki
{{ไม่มีที่มา}}
{{คุณภาพเนื้อหา|100%}}
{{หัวเรื่อง2
| ชื่อเรื่อง = คำพิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ในคดีหมายเลขแดงที่ ๓๔๘๓-๓๔๘๕/๒๕๕๔
| ชื่อเรื่องย่อย = ระหว่างพนักงานอัยการ โจทก์, ร้อยตำรวจตรี ประกอบ คลี่สุข และพวก รวมห้าสิบเจ็ดคน โจทก์ร่วม <br> กับธวัชชัย ศรีทุมมา และพวก รวมเจ็ดราย จำเลย<br>เรื่อง ก่อให้เกิดเพลิงไหม้, ความผิดต่อชีวิต ประมาท, ความผิดต่อร่างกาย ประมาท, ลหุโทษ, <br> ความผิดต่อพระราชบัญญัติสถานบริการ <br> ลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔<br>
| วิกิพีเดียชื่อเรื่อง =
| พระราชนิพนธ์ =
| พระนิพนธ์ =
| ผู้แต่ง =
| ผู้แต่งไม่ลิงก์ = [[ศาลยุติธรรม|ศาลอาญากรุงเทพใต้]]
| วิกิพีเดียผู้แต่ง =
| ผู้แปล =
| เรื่องก่อนหน้า =
| เรื่องถัดไป =
| ก่อนหน้า =
| ถัดไป =
| หมายเหตุ =
}}
{{รุ่น}}
{{PB}}
{{หัวหนังสือราชการ 2
| บนซ้าย = คำพิพากษา
| บนขวา =
| กลางซ้าย =
| กลางขวา = คดีหมายเลขดำที่ ๕๔๑/๒๕๕๔<br>คดีหมายเลขแดงที่ ๓๔๘๓/๒๕๕๔
| กลาง_1 = '''ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์'''
| กลาง_2 = '''ศาลอาญากรุงเทพใต้'''
| กลาง_3 = <br>วันที่ ๒๐ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๔
| กลาง_4 = <br>ความอาญา
}}
{| {{Brace table parameters}} style="margin-left:3em;"
|-
|
| {{brace|r|mb}}
| style = "width:40em;" | พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด
| โจทก์
|
|-
|
| {{brace|l|s}}
|
|
|-
|
| {{brace|l|s}}
| ร้อยตำรวจตรี ประกอบ คลี่สุข
| โจทก์ร่วมที่ ๑
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายเที่ยง นกยูง
| โจทก์ร่วมที่ ๒
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางกนกอร ปิณฑะบุตร
| โจทก์ร่วมที่ ๓
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายพัว แก้วละเอียด
| โจทก์ร่วมที่ ๔
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางคลี่ แก้วละเอียด
| โจทก์ร่วมที่ ๕
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสุภาพ นาสมนึก
| โจทก์ร่วมที่ ๖
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางปรีดาวัน บึงกา
| โจทก์ร่วมที่ ๗
|-
|
| {{brace|l|s}}
| เด็กชายธันยบูรณ์ วัชระมโนกานต์ หรือเด็กชายกานต์นิธิ สุวินวงศ์เกษม
| โจทก์ร่วมที่ ๘
|-
|
| {{brace|l|s}}
| โดยนายวงศ์วริศ สุวินวงศ์เกษม หรือนายวรวิทย์ วัชระมโนกานต์
|
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายวุฒิชัย วิเศษศิริ
| โจทก์ร่วมที่ ๙
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางธนพร ชินเจริญกิจ
| โจทก์ร่วมที่ ๑๐
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายธงชัย กลีบเมฆ
| โจทก์ร่วมที่ ๑๑
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางพรรณี กลีบเมฆ
| โจทก์ร่วมที่ ๑๒
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสาวศรัญญา วรวิชากุล
| โจทก์ร่วมที่ ๑๓
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายธีรวัจน์ โชติจรูญพันธ์
| โจทก์ร่วมที่ ๑๔
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสาวศศินันท์ ชาญการไถ
| โจทก์ร่วมที่ ๑๕
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายสนธยา บุญพรม
| โจทก์ร่วมที่ ๑๖
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายสุริศักดิ์ นิติภาวะชน
| โจทก์ร่วมที่ ๑๗
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสาวกาญจนา นาคขวัญ
| โจทก์ร่วมที่ ๑๘
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายพีระพล หลำจำนง
| โจทก์ร่วมที่ ๑๙
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางมุ้ยเกียง ถนอมปัญญารักษ์
| โจทก์ร่วมที่ ๒๐
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสาวพนิญาดา หรือพนิดา โพธิ์ศรี
| โจทก์ร่วมที่ ๒๑
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสาวนัทชา ชัยรำลึก
| โจทก์ร่วมที่ ๒๒
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางวิภาภรณ์ พรมราช
| โจทก์ร่วมที่ ๒๓
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายพรรณมิตร สินทรัพย์
| โจทก์ร่วมที่ ๒๔
|-
|
| {{brace|l|s}}
| พลเอกพูลศักดิ์ นาคพัฒน์
| โจทก์ร่วมที่ ๒๕
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางวรรณา ซำคง
| โจทก์ร่วมที่ ๒๖
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายจุนอิชิโร ซูซูกิ
| โจทก์ร่วมที่ ๒๗
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางมณี หวังทวีวงศ์
| โจทก์ร่วมที่ ๒๘
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางแปลก บัวมาก
| โจทก์ร่วมที่ ๒๙
|-
| ระหว่าง
| {{brace|l|m}}
| นายอภิศักดิ์ เมฆทรัพย์
| โจทก์ร่วมที่ ๓๐
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายธีรพล สิริอิทธิวงศ์
| โจทก์ร่วมที่ ๓๑
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายอวยชัย อมรรัตน์โชติ
| โจทก์ร่วมที่ ๓๒
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายอัศวิน หวังทวีวงศ์
| โจทก์ร่วมที่ ๓๓
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสาวปรียานุช พึงลำภู
| โจทก์ร่วมที่ ๓๔
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสาวธนัชชา สุนทรชัย
| โจทก์ร่วมที่ ๓๕
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสาวศิริลักษณ์ อักษรวรรณ
| โจทก์ร่วมที่ ๓๖
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายแกะ ยงค์รัมย์
| โจทก์ร่วมที่ ๓๗
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางเรียมทอง ยงค์รัมย์
| โจทก์ร่วมที่ ๓๘
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายมหรรณพ กาญจนวิจิตร
| โจทก์ร่วมที่ ๓๙
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางวายุรี กาญจนวิจิตร
| โจทก์ร่วมที่ ๔๐
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายอนันต์ อาจนนลา
| โจทก์ร่วมที่ ๔๑
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางบุญมี อาจนนลา
| โจทก์ร่วมที่ ๔๒
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสาวชัญญา ชูเกียรติ
| โจทก์ร่วมที่ ๔๓
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายสุพัฒน์ ศรีแจ่ม
| โจทก์ร่วมที่ ๔๔
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสาวนงลักษณ์ รอดจันทร์
| โจทก์ร่วมที่ ๔๕
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสาวรัตนา แซ่ลิ้ม
| โจทก์ร่วมที่ ๔๖
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางชลอ น่วมเจริญ
| โจทก์ร่วมที่ ๔๗
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางเอสเตอร์ เยียน เชน เลาพิกานนท์
| โจทก์ร่วมที่ ๔๘
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายเมธี การพจน์
| โจทก์ร่วมที่ ๔๙
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางนิคม สมเนตร์
| โจทก์ร่วมที่ ๕๐
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางชมภู มาพรม
| โจทก์ร่วมที่ ๕๑
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายพลสิทธิ์ วุฒิเลิศอนันต์
| โจทก์ร่วมที่ ๕๒
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางฉวีวรรณ วงษ์ทวี
| โจทก์ร่วมที่ ๕๓
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายศักดิ์ ปัญญาทิพย์
| โจทก์ร่วมที่ ๕๔
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสาวศนิ กัณหสุวรรณ
| โจทก์ร่วมที่ ๕๕
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางอุไร หอมพิกุล
| โจทก์ร่วมที่ ๕๖
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นางสาวศิริขวัญ แต้มดื่ม
| โจทก์ร่วมที่ ๕๗
|-
|
| {{brace|l|s}}
|
|
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายธวัชชัย ศรีทุมมา
| จำเลยที่ ๑
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายพงษ์เทพ จินดา
| จำเลยที่ ๒
|-
|
| {{brace|l|s}}
| นายพุฒิพงศ์ ไวย์ลิกรี
| จำเลยที่ ๓
|-
|
| {{brace|r|mt}}
| นายสราวุธ อะริยะ
| จำเลยที่ ๔
|}
'''เรื่อง {{gap|0.5em}} ก่อให้เกิดเพลิงไหม้ ความผิดต่อชีวิต ประมาท ความผิดต่อร่างกาย ประมาท ลหุโทษ'''
{{หัวหนังสือราชการ 3
| กลางขวา = คดีหมายเลขดำที่ ๖๔๘/๒๕๕๓ <br> คดีหมายเลขแดงที่ ๓๔๘๔/๒๕๕๔
}}
{| {{Brace table parameters}} style="margin-left:3em;"
|-
|
| {{brace|r|mb}}
| style = "width:40em;" | พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด
| โจทก์
|
|-
|
| {{brace|l|s}}
|
|
|-
| ระหว่าง
| {{brace|l|m}}
| โจทก์ร่วมทั้ง ๕๗
|
|-
|
| {{brace|l|s}}
|
|
|-
|
| {{brace|r|mt}}
| นายวิสุข เสร็จสวัสดิ์
| จำเลย
|}
'''เรื่อง {{gap|0.5em}} ก่อให้เกิดเพลิงไหม้ ความผิดต่อชีวิต ประมาท ความผิดต่อร่างกาย ประมาท ลหุโทษ ความผิดต่อพระราชบัญญัติสถานบริการ'''
{{หัวหนังสือราชการ 3
| กลางขวา = คดีหมายเลขดำที่ ๗๕๓/๒๕๕๓ <br> คดีหมายเลขแดงที่ ๓๔๘๕/๒๕๕๔
}}
{| {{Brace table parameters}} style="margin-left:3em;"
|-
|
| {{brace|r|mb}}
| style = "width:40em;" | พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด
| โจทก์
|
|-
|
| {{brace|l|s}}
|
|
|-
| ระหว่าง
| {{brace|l|m}}
| โจทก์ร่วมทั้ง ๕๗
|
|-
|
| {{brace|l|s}}
|
|
|-
|
| {{brace|l|s}}
| บริษัทโฟกัส ไลท์ ซาวด์ ซิสเท็ม จำกัด
| จำเลยที่ ๑
|-
|
| {{brace|r|mt}}
| นายบุญชู เหล่าสีนาท
| จำเลยที่ ๒
|}
'''เรื่อง {{gap|0.5em}} ก่อให้เกิดเพลิงไหม้ ความผิดต่อชีวิต ประมาท ความผิดต่อร่างกาย ประมาท ลหุโทษ ความผิดต่อพระราชบัญญัติสถานบริการ'''
คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลสั่งรวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ ทั้งสามสำนวนว่า โจทก์ แต่เนื่องจากในการทำสำนวนการสอบสวน นายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ ๖๔๘/๒๕๕๓ เป็นผู้ต้องหาที่ ๑ ส่วนจำเลยทั้งสี่ในคดีหมายเลข ดำที่ ๕๔๑/๒๕๕๓ และจำเลยทั้งสองในคดีหมายเลขดำที่ ๗๕๓/๒๕๕๓ เป็นผู้ต้องหาที่ ๒ ถึงที่ ๗ ตามลำดับ ดังนั้น เพื่อสะดวกแก่การพิจารณา จึงให้เรียกจำเลยในคดีหมายเลขดำ ที่ ๖๔๘/๒๕๕๓ ว่า จำเลยที่ ๑ และให้เรียกจำเลยทั้งสี่ในคดีหมายเลขดำที่ ๕๔๑/๒๕๕๓ ว่าจำเลยที่ ๒ ถึง ที่ ๕ และให้เรียกจำเลยทั้งสองในคดีหมายเลขดำที่ ๗๕๓/๒๕๕๓ ว่า จำเลยที่ ๖ และที่ ๗
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องจำเลยทั้งสามสำนวนในทำนองเดียวกันว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีนายสุริยา หรือตั้ม ฤทธิ์ระบือ ซึ่งหลบหนี ยังไม่ได้ตัวมาทำการสอบสวน เป็นกรรมการผู้แทนนิติบุคคลตามกฎหมาย และมีจำเลยที่ ๑ เป็นผู้บริหารดำเนินกิจการ ตามความเป็นจริง โดยมีจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ เป็นพนักงานลูกจ้าง มีหน้าที่จัดการรับผิดชอบดูแลในการประกอบกิจการให้บริการจำหน่ายอาหาร สุรา เครื่องดื่ม โดยมีการแสดงดนตรี และการบันเทิงแก่ลูกค้า ภายในอาคาร เลขที่ ๒๓๕/๑๑ ระหว่างซอยเอกมัย ๙–๑๑ ถนนสุขุมวิท ๖๓ ใช้ชื่อทางการค้าว่า ซานติก้าผับ (Santika Pub) จำเลยที่ ๖ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ ๗ เป็นกรรมการผู้แทนนิติบุคคลตามกฎหมาย และเป็นผู้บริหารดำเนินกิจการตามความเป็นจริง เมื่อระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ต่อเนื่องกัน บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด กับจำเลยทั้งเจ็ด ต่างได้กระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง กล่าวคือ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด กับจำเลยที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ จัดให้มีงานรื่นเริงให้บริการจำหน่ายอาหาร สุรา เครื่องดื่ม การแสดงดนตรีรวมทั้งการแสดงแสงสีเสียงในโอกาสฉลองเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ภายในตัวอาคารซานติก้าผับ ซึ่งมีลักษณะการใช้งานเป็นอาคารสาธารณะ แต่ขาดมาตรฐานความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน โดยที่ภายในตัวอาคารไม่มีแบบแปลน แผนผังอาคารติดตั้งแสดงไว้ ไม่มีป้ายบอกทางหนีไฟ และไม่ได้ติดตั้งไฟฉุกเฉินให้มีจำนวนเพียงพอที่สามารถเปิดส่องสว่างแก่ลูกค้าเพื่อการหลบหนีออกจากตัวอาคารได้สะดวกและปลอดภัยในกรณีเกิดไฟไหม้หรือมีเหตุฉุกเฉินอย่างอื่น มีพื้นที่ให้บริการ ลูกค้าที่สามารถจุคนได้ไม่เกินจำนวน ๕๐๐ คน และมีประตูเข้าออก ซึ่งสามารถรองรับคนเข้าออกได้เพียงประมาณ ๕๐๐ คน ตามหลักมาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งภายในด้วยวัสดุประเภทติดไฟง่าย เมื่อติดไฟแล้วจะลุกลามอย่างรวดเร็ว และเกิดแก๊สพิษทำให้ผู้ที่สูดดมเข้าไปหายใจไม่ออกและหมดสติ ซึ่งในการใช้งานอาคารดังกล่าว บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด กับจำเลยที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ จักต้องใช้ความระมัดระวัง ดำเนินการติดตั้งแบบแปลนแผนผังอาคาร ป้ายบอกทางหนีไฟและไฟ ฉุกเฉินภายในตัวอาคารให้เพียงพอ จักต้องไม่จัดให้ลูกค้าเข้าไปใช้บริการภายในตัว อาคารดังกล่าวเกินกว่า ๕๐๐ คน ซึ่งบริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด กับ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ อาจใช้ความระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย เช่นว่านั้นได้ แต่หาใช้ให้เพียงพอไม่ อีกทั้งร่วมกันประชาสัมพันธ์ชักชวนจัดให้ลูกค้า ซึ่งมีจำนวนมากกว่า ๑,๐๐๐ คน เข้าใช้บริการภายในอาคารที่เกิดเหตุ อันเป็นการเสี่ยงต่อการที่จะได้รับอันตรายจากเหตุเพลิงไหม้โดยง่าย นอกจากนี้ จำเลยที่ ๑ ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนที่แท้จริงของบริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้ยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้บุคคลผู้มีอายุต่ำกว่า ๒๐ ปีบริบูรณ์ ซึ่งมิได้ทำงานในสถานบริการดังกล่าว เข้าไปในสถานบริการในระหว่างเวลาเปิดทำการ และไม่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบโดยพลัน เมื่อพบมีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานบริการดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นนักร้องเพลงบนเวทีภายในอาคารที่เกิดเหตุ กระทำการโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง โดยวันเวลาดังกล่าว จำเลยที่ ๕ ใช้พลุซึ่งมีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอก มีลวดลายขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑–๑.๕ นิ้วฟุต ยาวประมาณ ๑๕ เซนติเมตร จำนวน ๑ ดอก จุดบริเวณหน้าเวที จนเกิดลูกไฟ พุ่งขึ้นไปชนเพดานเวทีซึ่งมีความสูงของเพดานเวทีเพียงประมาณ ๕ เมตร เป็นเหตุให้เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นที่บริเวณเพดานเวทีและภายในตัวอาคารที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ ในวันเวลาดังกล่าว จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ ในฐานะส่วนตัว ซึ่งได้รับการว่าจ้างจากบริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ให้เป็นผู้ดำเนินการจัดการแสดงแสงสีเสียง สำหรับการจัดงานรื่นเริง ได้กระทำการโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง โดยร่วมกันติดตั้งดอกไม้เพลิงที่ใช้จุดประกอบการแสดงแสงสีเสียงบนเวที (เอฟเฟ็กต์) ชนิดมีแรงระเบิดเผาไหม้รุนแรง เมื่อจุดไฟแล้วจะเกิดลูกไฟพุ่งขึ้นไปในแนวดิ่งจาก บริเวณเวทีที่ติดตั้งสูงกว่าระดับเพดานของอาคารที่เกิดเหตุ จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ ยังร่วมกันจุดเอฟเฟ็กต์ชนิดดังกล่าวที่ติดตั้งไว้บริเวณเวทีจนเกิดลูกไฟพุ่งขึ้นไปชน เพดานอาคารที่เกิดเหตุ อันเป็นเหตุให้เพลิงลุกไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็วภายในตัวอาคาร การกระทำโดยประมาทดังกล่าวข้างต้นของบริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด และจำเลยทั้งเจ็ด เป็นเหตุให้ลูกค้าผู้เข้าไปใช้บริการในอาคารที่เกิดเหตุถึงแก่ความตาย ๖๗ คน ได้รับอันตรายสาหัส ๔๕ คน ได้รับอันตรายแก่กาย ๗๒ คน และทรัพย์สินของลูกค้าผู้เข้าใช้บริการได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐, ๓๙๐ พระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙ มาตรา ๑๖/๑, ๑๖/๓, ๒๗, ๒๘/๑ และพระราชบัญญัติสถานบริการ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๙, ๑๕, ๑๗ ลงโทษจำเลย ที่ ๒ ถึงที่ ๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐, ๓๙๐ และลงโทษจำเลย ที่ ๕ ถึงที่ ๗ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒๕, ๒๙๑, ๓๐๐, ๓๙๐
จำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องดังต่อไปนี้
๑. {{gap|0.5em}} ร้อยตำรวจตรี ประกอบ คลี่สุข บิดาของนางสาวอนุสรา คลี่สุข ผู้เสียหายกรณีบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้
๒. {{gap|0.5em}} นายเที่ยง นกยูง บิดาของนางรุ่งนภา ไทยประเสริฐ ผู้ตาย
๓. {{gap|0.5em}} นางกนกอร ปิณฑะบุตร มารดาของนายทิวากร ปิณฑะบุตร ผู้ตาย
๔. {{gap|0.5em}} นายพัว แก้วละเอียดและนางคลี่ แก้วละเอียด บิดาและมารดาของนายมีศักดิ์ แก้วละเอียด ผู้ตาย
๕. {{gap|0.5em}} นางสุภาพ นาสมนึก มารดาของนางบุษยา นาสมนึก หรือนางอัมแพรวา บูรพาพิทักษ์ภูมิ หรือนางอัมแพรวา บูรพาพิธักษ์ภูมิ ผู้ตาย
๖. {{gap|0.5em}} นางปรีดาวัน บึงกา มารดาของนางสาวพิมพ์ฤดี อินสุข ผู้ตาย
๗. {{gap|0.5em}} นายวงศ์วริศ สุวินวงศ์เกษม หรือนายวรวิทย์ วัชระมโนกานต์ ผู้แทน โดยชอบธรรมของเด็กชายธันยบูรณ์ วัชระมโนกานต์ หรือเด็กชายกานต์นิธิ สุวินวงศ์เกษม ซึ่งเด็กชายดังกล่าวเป็นบุตรของนางสาวพิมพ์ฤดี อินสุข ผู้ตาย
๘. {{gap|0.5em}} นายวุฒิชัย วิเศษศิริ ผู้เสียหาย
๙. {{gap|0.5em}} นางธนพร ชินเจริญกิจ มารดาของนายสมิต ยินดีธรรมกิจ ผู้ตาย
๑๐. {{gap|0.5em}} นายธงชัย กลีบเมฆ และนางพรรณี กลีบเมฆ บิดาและมารดาของนางสาวจิรภัทร กลีบเมฆ ผู้ตาย
๑๑. {{gap|0.5em}} นางสาวศรัญญา วรวิชากุล ผู้เสียหาย
๑๒. {{gap|0.5em}} นายธีรวัจน์ โชติจรูญพันธ์ ผู้เสียหาย
๑๓. {{gap|0.5em}} นางสาวศศินันท์ ชาญการไถ ผู้เสียหาย
๑๔. {{gap|0.5em}} นายสนธยา บุญพรม บิดาของนายเฉลิมชนม์ บุญพรม ผู้ตาย
๑๕. {{gap|0.5em}} นายสุริศักดิ์ นิติภาวะชน ผู้เสียหาย
๑๖. {{gap|0.5em}} นางสาวกาญจนา นาคขวัญ ผู้เสียหาย
๑๗. {{gap|0.5em}} นายพีระพล หลำจำนงค์ บิดาของนางสาวพรพิมล หลำจำนงค์ ผู้ตาย
๑๘. {{gap|0.5em}} นางมุ้ยเกียง ถนอมปัญญารักษ์ มารดาของนางสาววิภาวรรณ ถนอมปัญญารักษ์ ผู้ตาย
๑๙. {{gap|0.5em}} นางสาวพนิญาดาหรือพนิดา โพธิ์ศรี ภริยาของนายอาทิตย์เทพ ปฐมานุรักษ์ ผู้ตาย
๒๐. {{gap|0.5em}} นางสาวนัทชา ชัยรำลึก ผู้เสียหาย
๒๑. {{gap|0.5em}} นางวิภาภรณ์ พรมราช มารดาของนางสาวปัญญา ไชยสิทธิ์ ผู้ตาย
๒๒. {{gap|0.5em}} นายพรรณมิตร สินทรัพย์ บิดาของนางสาวบุษรินทร์ หรือบุศรินทร์ สินทรัพย์ ผู้ตาย
๒๓. {{gap|0.5em}} พลเอกพูลศักดิ์ นาคพัฒน์ บิดาของนายวราวุธ นาคพัฒน์ ผู้เสียหายกรณีบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้
๒๔. {{gap|0.5em}} นางวรรณา ซำคง มารดาของนางสาววัลยา ซำคง ผู้ตาย
๒๕. {{gap|0.5em}} นายจุนอิชิโร ซูซูกิ สามีของนางจรินทร์ ซูซูกิ ผู้ตาย
๒๖. {{gap|0.5em}} นางมณี หวังทวีวงศ์ มารดาของนายทรงพล หวังทวีวงศ์ ผู้ตาย
๒๗. {{gap|0.5em}} นางแปลก บัวมาก มารดาของนางสาวพรรณทิพา บัวมาก ผู้ตาย
๒๘. {{gap|0.5em}} นายอภิศักดิ์ เมฆทรัพย์ บิดาของนางสาวสุมาลี เมฆทรัพย์ ผู้ตาย
๒๙. {{gap|0.5em}} นายธีรพล สิริอิทธิวงศ์ ผู้เสียหาย
๓๐. {{gap|0.5em}} นายอวยชัย อมรรัตน์โชติ บิดาของนางสาวพรเพ็ญ อมรรัตน์โชติ ผู้ตาย
๓๑. {{gap|0.5em}} นายอัศวิน หวังทวีวงศ์ ผู้เสียหาย
๓๒. {{gap|0.5em}} นางสาวปรียานุช พึงลำภู ผู้เสียหาย
๓๓. {{gap|0.5em}} นางสาวธนัชชา สุนทรชัย ผู้เสียหาย
๓๔. {{gap|0.5em}} นางสาวศิริลักษณ์ อักษรวรรณ ผู้เสียหาย
๓๕. {{gap|0.5em}} นายแกะ ยงค์รัมย์ และนางเรียมทอง ยงค์รัมย์ บิดาและมารดาของนางสาววิไลรัฐ ยงค์รัมย์ ผู้ตาย
๓๖. {{gap|0.5em}} นายมหรรณพ กาญจนวิจิตร และนางวายุรี กาญจนวิจิตร บิดาและมารดาของนางสาววีณา กาญจนวิจิตร ผู้ตาย
๓๗. {{gap|0.5em}} นายอนันต์ อาจนนลา และนางบุญมี อาจนนลา บิดาและมารดาของนางสาวอนงค์ลักษณ์ อาจนนลา ผู้ตาย
๓๘. {{gap|0.5em}} นางสาวชัญญา ชูเกียรติ ผู้เสียหาย
๓๙. {{gap|0.5em}} นายสุพัฒน์ ศรีแจ่ม ผู้เสียหาย
๔๐. {{gap|0.5em}} นางสาวนงลักษณ์ รอดจันทร์ ผู้เสียหาย
๔๑. {{gap|0.5em}} นางสาวรัตนา แซ่ลิ้ม ผู้เสียหาย
๔๒. {{gap|0.5em}} นางชลอ น่วมเจริญ มารดาของนายจักรชัย น่วมเจริญ ผู้ตาย
๔๓. {{gap|0.5em}} นางเอสเตอร์ เยียน เชน เลาพิกานนท์ มารดาของนายมาร์ค เลาพิกานนท์ ผู้ตาย
๔๔. {{gap|0.5em}} นายเมธี การพจน์ ผู้เสียหาย
๔๕. {{gap|0.5em}} นางนิคม สมเนตร์ มารดาของนายสุรชัยหรือกษิดิส เหมือนเดช ผู้ตาย
๔๖. {{gap|0.5em}} นางชมภู มาพรม มารดาของนางสาวจีระพันธ์ มาพรม ผู้ตาย
๔๗. {{gap|0.5em}} นายพลสิทธิ์ วุฒิเลิศอนันต์ บิดาของนายชาญวิทย์ วุฒิเลิศอนันต์ ผู้ตาย
๔๘. {{gap|0.5em}} นางฉวีวรรณ วงษ์ทวี มารดาของนางสาวเดือนเพ็ญ พรมทอง ผู้ตาย
๔๙. {{gap|0.5em}} นายศักดิ์ ปัญญาทิพย์ บิดาของนางสาววราศรี ปัญญาทิพย์ ผู้ตาย
๕๐. {{gap|0.5em}} นางสาวศนิ กัณหสุวรรณ ผู้เสียหาย
๕๑. {{gap|0.5em}} นางอุไร หอมพิกุล มารดาของนางสาวกุลธิดา หอมพิกุล ผู้ตาย
๕๒. {{gap|0.5em}} นางสาวศิริขวัญ แต้มดื่ม มารดาของนายสุรศักดิ์ สุวรรณวิเศษ ผู้ตาย
ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลอนุญาต โดยให้เรียกผู้ร้องลำดับที่ ๑ ถึงลำดับที่ ๓ เป็นโจทก์ร่วมที่ ๑ ถึงโจทก์ร่วมที่ ๓, ลำดับที่ ๔ เป็นโจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕, ลำดับที่ ๕ ถึงลำดับที่ ๙ เป็นโจทก์ร่วมที่ ๖ ถึงโจทก์ร่วมที่ ๑๐, ลำดับที่ ๑๐ เป็นโจทก์ร่วมที่ ๑๑ และที่ ๑๒, ลำดับที่ ๑๑ ถึงลำดับที่ ๓๔ เป็นโจทก์ร่วมที่ ๑๓ ถึงโจทก์ร่วมที่ ๓๖, ลำดับที่ ๓๕ เป็นโจทก์ร่วมที่ ๓๗ และที่ ๓๘, ลำดับที่ ๓๖ เป็นโจทก์ร่วมที่ ๓๙ และที่ ๔๐, ลำดับที่ ๓๗ เป็นโจทก์ร่วม ๔๑ และที่ ๔๒, ลำดับที่ ๓๘ ถึงลำดับที่ ๕๒ เป็นโจทก์ร่วมที่ ๔๓ ถึงโจทก์ร่วมที่ ๕๗
ก่อนสืบพยาน โจทก์ร่วมที่ ๑ ในฐานะบิดาของนางสาวอนุสรา คลี่สุข ผู้เสียหายกรณีบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้ ยื่นคำร้องขอให้จำเลยทั้งเจ็ด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๔/๑ อ้างว่า นางสาวอนุสรา คลี่สุข ผู้เสียหาย ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย ทั้งเจ็ดเป็นค่าตรวจรักษาและค่ายา จำนวน ๓,๕๑๐ บาท, ค่าทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง เดือนละ ๖,๐๐๐ บาท เป็นระยะเวลา ๕ ปี รวมเป็นจำนวน ๓๖๐,๐๐๐ บาท, และค่าขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้ เดือนละ ๑๒,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๒๘ ปี รวมเป็นจำนวน ๔,๐๓๒,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ร่วมที่ ๑ จำนวน ๔,๓๙๕,๕๑๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับ แต่วันที่ยื่นคำร้อง (วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๓) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕ ในฐานะบิดาและมารดาของนายมีศักดิ์ แก้วละเอียด ผู้ตาย และโจทก์ร่วมที่ ๖ ในฐานะมารดาของนางบุษยา นาสมนึกหรือ นางอัมแพรวา บูรพาพิทักษ์ภูมิ หรือนางอัมแพรวา บูรพาพิธักษ์ภูมิ ผู้ตาย ต่างยื่น คำร้องขอให้จำเลยทั้งเจ็ดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๔/๑ อ้างว่า โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕ ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยทั้งเจ็ด เป็นค่าปลงศพของผู้ตาย จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท, ค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท หรือปีละ ๒๔๐,๐๐๐ บาท เป็นระยะเวลา ๒๙ ปี รวมเป็นจำนวน ๖,๙๖๐,๐๐๐ บาท, และค่าเสียหายทางด้านจิตใจ จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนโจทก์ร่วมที่ ๖ ได้รับความเสียหายเช่นเดียวกัน และเรียกร้องค่าเสียหายจำนวนเท่ากัน ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕ จำนวน ๘,๐๑๐,๐๐๐ บาท และร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ร่วมที่ ๖ จำนวน ๘,๐๑๐,๐๐๐ บาท
โจทก์ร่วมที่ ๗ ในฐานะมารดาของนางสาวพิมพ์ฤดี อินสุข ผู้ตาย และโจทก์ร่วมที่ ๘ ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้ตาย ยื่นคำร้องขอให้จำเลยทั้งเจ็ดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๔/๑ อ้างว่า โจทก์ร่วมที่ ๗ และที่ ๘ ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยทั้งเจ็ด เป็นค่าปลงศพของผู้ตาย จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท, ค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูสำหรับโจทก์ร่วมที่ ๗ และที่ ๘ รายละ ๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน หรือรายละ ๖๐,๐๐๐ บาทต่อปี เป็นระยะเวลา ๓๔ ปี รวมเป็นค่าขาดไร้อุปาการะเลี้ยงดูจำนวน ๔,๐๘๐,๐๐๐ บาท, อีกทั้งบุตรของผู้ตายได้รับความเสียหายเป็นค่าขาดไร้อุปการะในด้านการศึกษาอีก จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท, และค่าเสียหายทางด้านจิตใจ จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ร่วมที่ ๗ และที่ ๘ จำนวน ๖,๑๓๐,๐๐๐ บาท
โจทก์ร่วมที่ ๙ ในฐานะผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอให้จำเลยทั้งเจ็ดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๔/๑ อ้างว่า โจทก์ร่วมที่ ๙ ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยทั้งเจ็ด เป็นค่ารักษาพยาบาล จำนวน ๗๕,๐๙๖ บาท, ค่าพาหนะในการเดินทางไปพบแพทย์ตามนัด จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท, ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้จำนวน ๒ เดือน เป็นเงิน ๒๔,๐๐๐ บาท และของมารดาที่ต้องหยุดงานมาดูแลโจทก์ร่วมที่ ๙ จำนวน ๑๘,๐๐๐ บาท รวมค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ทั้งสิ้นจำนวน ๔๒,๐๐๐ บาท, และค่าเสื่อมสุขภาพร่างกายและทนทุกข์ทรมาน จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดชำระเงินแก่โจทก์ร่วมที่ ๙ จำนวน ๖๔๗,๐๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ค่าเสียหายที่โจทก์ร่วมที่ ๑ และโจทก์ร่วมที่ ๔ ถึงที่ ๙ เรียกร้อง มิได้เกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ ๑ โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕ โจทก์ร่วมที่ ๖ และโจทก์ร่วมที่ ๗ และที่ ๘ ไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ ๑ เนื่องจากโจทก์ร่วมดังกล่าวได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นจำเลยที่ ๓ ในคดีหมายเลขดำที่ ผบ. ๑๕๑๘/๒๕๕๒, ผบ. ๑๔๓๕/๒๕๕๒ และ ผบ. ๑๔๖๗/๒๕๕๒ ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้วตามลำดับ เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากเหตุเพลิงไหม้ร้านซานติก้าผับ อันเป็นเหตุอย่างเดียวกับคดีนี้ การที่โจทก์ร่วมดังกล่าวยื่นคำร้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๔/๑ ถือเป็นคำฟ้องซึ่งกฎหมายต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมดังกล่าวยื่นคำฟ้อง เรียกค่าสินไหมทดแทนในเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกันหรือศาลอื่นอีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๓ ดังนั้น คำร้องของโจทก์ร่วมที่ ๔ ถึงที่ ๘ จึงเป็นฟ้องซ้อน สำหรับค่าเสียหายต่าง ๆ ที่โจทก์ร่วมที่ ๑ และโจทก์ร่วมที่ ๔ ถึงที่ ๙ เรียกร้องมานั้น สูงเกินจริง และค่าเสียหายบางรายการเป็นค่าเสียหายในอนาคต อีกทั้งบางรายการก็เลื่อนลอย ไม่มีพยานหลักฐานต่าง ๆ มารับรอง ดังนั้น จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายและดอกเบี้ยใด ๆ ตามที่โจทก์ร่วมดังกล่าวเรียกร้อง ขอให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ มิได้กระทำประมาทหรือกระทำละเมิดจนเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ ๑, โจทก์ร่วมที่ ๔ ถึงที่ ๙ ได้รับความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้แต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิดในส่วนค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพ และค่าเสียหายใด ๆ ตามที่โจทก์ร่วมดังกล่าวเรียกร้องมา อีกทั้งค่าเสียหายนั้นก็สูงเกินจริง และค่าขาดไร้อุปการะเป็นค่าเสียหายในอนาคตที่สูงเกินส่วน ส่วนค่าเสียหายทางด้านจิตใจนั้นเป็นเพียงอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อทราบเหตุเพลิงไหม้เท่านั้น ไม่ใช่ความเสียหายตามกฎหมายที่ให้สิทธิโจทก์ร่วมดังกล่าวเรียกค่าเสียหายได้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๕ ให้การว่า จำเลยที่ ๕ ไม่ได้กระทำการประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ ๑, โจทก์ร่วมที่ ๔ ถึงที่ ๙ ได้รับความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้แต่อย่างใด โจทก์ร่วมดังกล่าวไม่ได้รับความเสียหายจริง ค่าเสียหายต่าง ๆ ที่โจทก์ร่วมดังกล่าวเรียกร้องมานั้น เป็นค่าเสียหายที่สูงเกินส่วน เลื่อนลอย ไม่มีพยานหลักฐานต่าง ๆ มารับรอง ดังนั้น จำเลยที่ ๕ จึงไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายและดอกเบี้ยใด ๆ ต่อโจทก์ร่วมดังกล่าว ขอให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ ให้การว่า บุตรของโจทก์ร่วมที่ ๑, บุตรของโจทก์ร่วมที่ ๔ ถึงที่ ๗ และโจทก์ร่วมที่ ๙ สมัครใจเข้าไปใช้บริการในร้านซานติก้าผับ ย่อมทราบถึงสภาพแวดล้อมที่เบียดเสียดและแออัดของผู้คนจำนวนมาก จนกระทั่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ในคดีนี้ นับได้ว่ามีส่วนผิดอยู่ด้วย ดังนั้น บุคคลดังกล่าวจึงไม่น่าจะเป็น ผู้เสียหาย บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลดังกล่าวไม่อาจร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้ได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุเพลิงไหม้มิได้เกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ ๖ และที่ ๗ ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีหลักฐานใดมายืนยันว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง นอกจากนั้น ค่าเสียหายต่าง ๆ ที่ โจทก์ร่วมดังกล่าวเรียกร้องมาสูงเกินจริง และเป็นการอนุมานขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียว จำเลยที่ ๖ และจำเลยที่ ๗ จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ ตามที่โจทก์ร่วม ดังกล่าวเรียกร้อง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ร่วมที่ ๑ ที่ ๙ ที่ ๑๙ ที่ ๓๑ และที่ ๔๕ ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ และโจทก์ร่วมที่ ๑ และที่ ๙ ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๔/๑ คู่ความทุกฝ่ายไม่คัดค้าน ศาลอนุญาต
ทางพิจารณาโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งหมดนำสืบว่า เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ประเภทบริษัทจำกัด โดยมีจำเลยที่ ๑ เป็นกรรมการผู้จัดการ มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทแต่เพียงผู้เดียว บริษัทดังกล่าวมีทุนจดทะเบียน ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท มีผู้ถือหุ้นจำนวน ๗ คน จำเลยที่ ๑ ถือหุ้นจำนวน ๑๘๐ หุ้น ราคาหุ้นละ ๕,๐๐๐ บาท จากจำนวนหุ้นทั้งหมด ๒๔๐ หุ้น บริษัทดังกล่าวประกอบกิจการให้บริการจำหน่ายอาหาร สุรา เครื่องดื่ม โดยมีการแสดงดนตรี และการบันเทิงแก่ลูกค้า ใช้ชื่อทางการค้าว่า ซานติก้าผับ (Santika Pub) ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ ๒๓๕/๑๑ ระหว่างซอยเอกมัย ๙–๑๑ ถนนสุขุมวิท ๖๓ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๗ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้จัดการ โดยให้นายสุริยา หรือตั้ม ฤทธิ์ระบือ ซึ่งมิได้ถือหุ้นบริษัทแม้แต่เพียงหุ้นเดียว เข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการแทนจำเลยที่ ๑ ครั้นวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้จดทะเบียนเพิ่มทุน บริษัทดังกล่าวจึงมีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีผู้ถือหุ้นจำนวน ๓๑ คน จำเลยที่ ๑ ถือหุ้นจำนวน ๑๒๙ หุ้น ราคาหุ้นละ ๕,๐๐๐ บาท จากจำนวนหุ้นทั้งหมด ๔๐๐ หุ้น ซึ่งจำเลยที่ ๑ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท โดยปกติ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัดจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นประมาณปีละ ๓ ถึง ๔ ครั้ง ซึ่งจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะเป็นประธานการประชุม การประชุมครั้งหลังสุดของบริษัทในเดือนธันวาคม ๒๕๕๑ ก่อนเกิดเหตุนั้น ได้มีการชี้แจงเรื่องสถานะทางการเงินของทางบริษัทว่า ประสบปัญหาขาดทุน ประกอบกับเจ้าของที่ดินของร้านซานติก้าผับต้องการที่ดินดังกล่าวคืน ผู้เข้าร่วมประชุมดังกล่าวจึงมีมติปิดกิจการร้านซานติก้าผับลง ต่อมา วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้จัดให้มีการแถลงข่าวการปิดกิจการของร้านซานติก้าผับ พร้อมกับจัดงานฉลองเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยมีจำเลยที่ ๑ กับพวกได้ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเพื่อประชาสัมพันธ์ชักชวนให้ลูกค้าเข้าไปใช้บริการในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ต่อมา วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ได้มีลูกค้าจำนวนมากกว่า ๑,๐๐๐ คนเข้าไปใช้บริการในร้านซานติก้าผับ ครั้นเวลาประมาณ ๒๓:๔๕ นาฬิกา ร้านซานติก้าผับได้มีการแจกแท่งไฟเย็นให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาเที่ยว จากนั้น พิธีกรบนเวทีได้ประกาศว่า ทางหน้าร้านด้านนอกจะมีการจุดพลุ โดยจุดจากอาคารพาณิชย์ร้างที่อยู่ริมถนนเอกมัย ๖๓ หน้าร้านซานติก้าผับ ต่อมา ใกล้เวลาเที่ยงคืน พิธีกรบนเวทีได้ประกาศให้ลูกค้าที่ได้รับแท่งไฟเย็นให้ทำการจุดไฟเย็น พร้อมกับมีการนับถอยหลัง เมื่อนับถึงศูนย์ ซึ่งหมายถึงเข้าสู่ปีใหม่ จากนั้น มีการจุดริบบิ้นกระดาษที่บริเวณหน้าเวทีและบนเพดานของร้าน ทำให้ริบบิ้นกระดาษโปรยไปทั่วทั้งร้าน ขณะเดียวกัน พิธีกรบนเวทีได้ประกาศว่า ทางด้านนอกของร้านมีการจุดพลุอยู่ ใครสนใจก็ให้ออกไปดู หลังจากนั้น พิธีกรก็ลงจากเวที และมีการแสดงของวงดนตรีเบิร์น โดยพยานกลุ่มแรกเห็นนักร้องขึ้นมาร้องเพลงจนกระทั่งถึงเวลาประมาณ ๐:๒๐ นาฬิกาของวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒ นักร้องได้ร้องเพลงอิตส์มายไลฟ์ (It’s My Life) ขณะเพลงดังกล่าวใกล้จะจบ โดยร้องประโยคสุดท้ายว่า “อิตส์มายไลฟ์” ก็มีเอฟเฟ็กต์ (effect) เกิดขึ้นบนเวทีหลายจุด แต่มีเอฟเฟ็กต์อันหนึ่งที่อยู่ระหว่างด้านหลังของนักร้องกับหน้ากลองชุดได้ปล่อยประกายไฟหลากสีพุ่งในแนวตั้งสูงจรดเพดาน พร้อมกับวงดนตรีเริ่มเล่นเพลง “อะโบเดเบย์”<ref>อาจหมายถึง เพลง “ไอ้บ้า ไอ้บี้ ไอ้โบ้ ไอ้เบ๋” ของ เดอะ พอสซิเบิล หรือเพลง “อา-โบ-เด-เบ” ของ อมิตา มารี ยัง ''— [เชิงอรรถของ วิกิซอร์ซ].''</ref> เมื่อวงดนตรีบรรเลงถึงกลางเพลงดังกล่าว ได้มีสะเก็ดไฟร่วงลงมาจากเพดานบนเวที จากนั้น มองขึ้นไปยังเพดานดังกล่าวเห็นมีเปลวไฟลุกไหม้บริเวณเพดานบนเวทีเยื้องไปทางด้านขวามือ (เมื่อหันหน้าเข้าหาเวที) ตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ. ๒๓ แผ่นที่ ๑/๘๘ ภาพที่ ๑๕๑ สักครู่ก็ลุกลามกระจายออกไปทั้งสองด้านซ้ายขวา จนเกิดเพลิงไหม้ร้านซานติก้าผับ ส่วนพยานอีกกลุ่มหนึ่งเห็นจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นนักร้อง และนักร้องชาวต่างชาติ กำลังร้องเพลง “อิตส์มายไลฟ์” และเห็นจำเลยที่ ๕ เดินจากหน้าเวทีไปหลังเวทีในลักษณะสลับไปสลับมา และจำเลยที่ ๕ ก็เดินไปบริเวณหน้ากลองชุด แล้ววางกระบอกซึ่งพยานกลุ่มนี้เข้าใจว่าเป็นพลุตรงบริเวณพื้นเวที จากนั้น จำเลยที่ ๕ ก็ร้องเพลง “อิตส์มายไลฟ์” ต่อจนจบ แต่ดนตรีเพลง “อิตส์มายไลฟ์” ยังคงบรรเลงอยู่ จากนั้น จำเลยที่ ๕ เดินไปยังบริเวณ ที่วางกระบอกดังกล่าว แล้วใช้ไฟแช็กจุดชนวน ทำให้พลุติดไฟและพุ่งขึ้นไปชนเพดานและติดไฟลุกไหม้ หลังจากนั้น ก็มีนักร้องซึ่งสวมเสื้อแขนยาวสีขาวขึ้นเวทีมาอีกคน และได้ร้องเพลง “อะโบเดเบย์” ต่อ สักครู่หนึ่งก็เกิดเพลิงไหม้ร้านซานติก้าผับ หลังเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อได้ประสานงานให้กองพิสูจน์หลักฐานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ ต่อมา รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมจะเสนอขอโอนคดีนี้เป็นคดีพิเศษ โดยให้การสอบสวนขึ้นตรงต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ระหว่างเสนอเรื่องขอโอนคดี กระทรวงยุติธรรมจึงมีคำสั่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ จึงทำให้มีหน่วยงานที่ตรวจพิสูจน์หลักฐาน ๒ หน่วยงาน คือ กองพิสูจน์หลักฐานตามการประสานงานของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตามคำสั่งของกระทรวงยุติธรรม ครั้นต่อมาภายหลัง ได้มีการเสนอเรื่องให้คณะ กรรมการคดีพิเศษพิจารณาว่า คดีนี้เป็นคดีพิเศษหรือไม่ ผลปรากฏว่าคณะกรรมการดังกล่าวมีมติว่า คดีนี้ไม่ใช่เป็นคดีพิเศษ ดังนี้ อำนาจการสอบสวนจึงขึ้นตรงต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ต่อมาเมื่อมีการตรวจสถานที่เกิดเหตุแล้ว กองพิสูจน์หลักฐานมีความเห็นว่า จุดต้นเพลิงน่าจะเกิดจากเหตุไฟไหม้ขึ้นก่อนตรงบริเวณเหนือซุ้มโฟมหน้าเวทีด้านขวาเมื่อหันหน้าเข้าหาเวที โดยเกิดจากการระเบิดแตกออกของดอกไม้เพลิง (พลุ) ซึ่งทำให้มีประกายไฟและความร้อนเกิดขึ้น เมื่อไปถูกกับโฟมที่ใช้ในการตกแต่งหรือโฟมที่ใช้เป็นฉนวนกันความร้อนใต้หลังคาร้านแล้ว ทำให้โฟมดังกล่าวลุกไหม้ขึ้น แล้วหยดเป็นลูกไฟ และลุกลามไหม้อย่างรวดเร็ว จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน ๖๗ คน ซึ่งผู้เสียชีวิตดังกล่าวมีบุคคลที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปีจำนวน ๒ คน ได้รับอันตรายสาหัส ๔๕ คน ได้รับอันตรายแก่กาย ๗๒ คน และทรัพย์สินของลูกค้าผู้เข้าใช้บริการได้รับความเสียหาย ตามรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ. ๒๓ แผ่นที่ ๑ ถึงแผ่นที่ ๙๐ นอกจากนี้ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ยังตรวจพบกล้องวิดีโอที่ถูกเพลิงไหม้บริเวณเคาน์เตอร์ควบคุมเสียงในที่เกิดเหตุ ซึ่งกล้องวิดีโอดังกล่าวเป็นกล้องวิดีโอที่บันทึกภาพการแสดงดนตรีบนเวทีในคืนเกิดเหตุ ปรากฏว่า ตัวกล้องวีดีโอบิดเบี้ยว และพบม้วนเทปวีดีโออยู่ในกล้อง จำนวน ๑ ม้วน แต่ม้วนเทปอยู่ในสภาพบุบสลายบางส่วน ไม่สามารถเปิดดูได้ จึงได้ทำการนำเนื้อเทปออกมาใส่ตลับเทปม้วนใหม่ และนำข้อมูลภาพในเนื้อเทปนำมาบันทึกในแผ่นดีวีดี แล้วนำไปเปิดโดยใช้โปรแกรม Windows Media Player ตามแผ่นดีวีดี เอกสารหมาย จ. ๔๗ (เหมือนกับแผ่นดีวีดีตามเอกสารหมาย ล. ๙) และตรวจพบสารเสพติดโคเคนบริเวณโซฟาภายในห้องพักนักแสดง และพบสารเสพติดโคเคนที่ตู้ ๔ ลิ้นชัก ยี่ห้อ Pilot ภายในห้องฝ่ายสำนักงาน ตามรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ. ๒๓ แผ่นที่ ๙๑ ถึงแผ่นที่ ๒๓๘ ต่อมา พนักงานสอบสวนได้ขอ หมายจับจำเลยที่ ๕ ต่อศาล และจับกุมตัวจำเลยที่ ๕ ได้ ตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ. ๗๔ ส่วนจำเลยที่เหลือเข้ามอบตัว ชั้นสอบสวน แจ้งข้อหาจำเลยที่ ๑ ว่า ร่วมกันกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส และร่วมกันเป็นผู้ได้รับอนุญาตตั้งสถานบริการ ยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้มีผู้มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ซึ่งมิได้ทำงานในสถานบริการนั้นเข้าไปในสถานบริการระหว่างเวลาทำงานตามกฎหมาย และร่วมกัน ยินยอม หรือปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานบริการ จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธ แจ้งข้อหาจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ว่า กระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส และเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้การปฏิเสธ แจ้งข้อหาจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ว่า กระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส และเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ และกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย และมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗ ให้การปฏิเสธ สำหรับนายสุริยา หรือตั้ม ฤทธิ์ระบือ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้ถูกออกหมายจับไว้ แต่ยังจับตัวไม่ได้
สำหรับค่าเสียหายโจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕ ได้รับความเสียหาย เป็นค่าปลงศพของผู้ตาย จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท, ค่าขาดไร้อุปการะ เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท หรือปีละ ๒๔๐,๐๐๐ บาท เป็นระยะเวลา ๒๙ ปี รวมเป็นจำนวน ๖,๙๖๐,๐๐๐ บาท, และค่าเสียหายทางด้านจิตใจ จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท, รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๘,๐๑๐,๐๐๐ บาท ส่วนโจทก์ร่วมที่ ๖ ได้รับความเสียหายเช่นเดียวกัน และเรียกร้องค่าเสียหายจำนวนเท่ากัน สำหรับโจทก์ร่วมที่ ๗ และที่ ๘ ได้รับความเสียหาย เป็นค่าปลงศพของผู้ตาย จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท, ค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูสำหรับโจทก์ร่วมที่ ๗ และที่ ๘ รายละ ๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน หรือรายละ ๖๐,๐๐๐ บาทต่อปี เป็นระยะเวลา ๓๔ ปี รวมเป็นค่าขาดไร้อุปาการะเลี้ยงดูจำนวน ๔,๐๘๐,๐๐๐ บาท อีกทั้ง บุตรของ ผู้ตายได้รับความเสียหายเป็นค่าขาดไร้อุปการะในด้านการศึกษาอีก จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายทางด้านจิตใจ จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็น เงินทั้งสิ้นจำนวน ๖,๑๓๐,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งเจ็ดนำสืบว่า เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยมีจำเลยที่ ๑ เป็นกรรมการผู้จัดการมีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทแต่เพียงผู้เดียว บริษัทดังกล่าวมีทุนจดทะเบียน ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท มีผู้ถือหุ้นจำนวน ๗ คน จำเลยที่ ๑ ถือหุ้นจำนวน ๑๘๐ หุ้น ราคาหุ้นละ ๕,๐๐๐ บาท จากจำนวนหุ้นทั้งหมด ๒๔๐ หุ้น บริษัทดังกล่าวประกอบกิจการให้บริการจำหน่ายอาหาร สุรา เครื่องดื่ม มีการแสดงดนตรีและการบันเทิงแก่ลูกค้า โดยเปิดทำการตั้งแต่เวลาประมาณ ๑๙:๐๐ นาฬิกาถึงเวลาประมาณ ๐๒:๐๐ นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น ใช้ชื่อทางการค้าว่า ซานติก้าผับ (Santika Pub) ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๗ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้จัดการ โดยให้นายสุริยา หรือตั้ม ฤทธิ์ระบือ ซึ่งมิได้ถือหุ้นบริษัทแม้แต่เพียงหุ้นเดียว เข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการแทนจำเลยที่ ๑ ครั้นวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้จดทะเบียนเพิ่มทุน บริษัทดังกล่าวจึงมีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีผู้ถือหุ้นจำนวน ๓๑ คน จำเลยที่ ๑ ถือหุ้นจำนวน ๑๒๙ หุ้น ราคาหุ้นละ ๕,๐๐๐ บาท จากจำนวนหุ้นทั้งหมด ๔๐๐ หุ้น ซึ่งจำเลย ที่ ๑ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท แต่จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารงาน ผู้มีอำนาจในการบริหารงาน คือ นายสุริยา เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้จัดให้มีการแถลงข่าวการปิดกิจการของร้านซานติก้าผับ พร้อมกับจัดงานฉลองเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จึงได้เชิญผู้ถือหุ้นของบริษัทจำนวน ๓ คน คือ จำเลยที่ ๑, นายรุ่งยศ จันทภาษา และนายณัฐพล วงศ์มณีวรรณ เพื่อเป็นเกียรติในการร่วมแถลงข่าว โดยให้จำเลยที่ ๑ กล่าวขอบคุณสื่อมวลชน นายรุ่งยศกล่าวเกี่ยวกับประวัติของร้านซานติก้าผับ ส่วนนายณัฐพลกล่าวเกี่ยวกับอะไรจำไม่ได้ และในวันดังกล่าวนายสุริยาก็อยู่ด้วย แต่นายสุริยาไม่ได้ร่วมแถลงข่าวด้วย สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ เป็นพนักงานลูกจ้าง มีตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการขาย, ตำแหน่งพนักงานฝ่ายบันเทิง และตำแหน่งพนักงานฝ่ายการตลาด ตามลำดับ จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับเด็กเสิร์ฟ, กัปตัน, บาร์เทนเดอร์ โดยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแจ้งโปรโมชั่นและบริการเครื่องดื่มให้แก่ลูกค้า จำเลยที่ ๓ มีหน้าที่ดูแลในแผนกภาพและเสียง จำเลยที่ ๔ มีหน้าที่ประสานงานกับผู้ที่ติดต่อขอใช้บริการของร้านในเวลากลางวัน และประสานงานเกี่ยวกับหนังสือลงโฆษณา ในวันเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ ได้ไปเที่ยวที่ร้านซานติก้าผับโดยนั่งร่วมรับประทานอาหารและดื่มสุรากับเพื่อนที่โต๊ะตั้งอยู่บริเวณระเบียงด้านนอกของร้าน และในวันนั้น มีลูกค้ามาใช้บริการประมาณ ๕๐๐ คน ครั้น เมื่อมีการนับถอยหลังเพื่อเข้าสู่วันปีใหม่เสร็จแล้ว พิธีกรบนเวทีแจ้งให้ทราบว่า มีการจุดพลุอยู่ภายนอกร้าน จำเลยที่ ๑ จึงออกไปดูพลุนานประมาณ ๕ นาที เพื่อนของจำเลยที่ ๑ ได้โทรศัพท์ให้จำเลยที่ ๑ ไปรับเพื่อนที่บริเวณลานจอดรถด้านหลังของร้าน จำเลยที่ ๑ จึงไปรับเพื่อนที่บริเวณดังกล่าว สักครู่หนึ่ง มีลูกค้าวิ่งออกจากร้านซานติก้าผับ พร้อมตะโกนว่า “ไฟไหม้” จำเลยที่ ๑ จึงวิ่งเข้าไปทางด้านหลังของร้าน แล้วหยิบถังดับเพลิงเพื่อดับไฟ พร้อมตะโกนบอกผู้อื่นให้ช่วยกันดับไฟ และได้มีการช่วยเหลือคนบางส่วน หลังจากนั้น จำเลยที่ ๑ มีอาการไม่ดี เพราะได้สูดดมควันไฟไปมาก จำเลยที่ ๑ จึงได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จากนั้น ก็กลับบ้าน ส่วนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ไม่เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ สำหรับจำเลยที่ ๕ เป็นนักร้องนำในวงดนตรี เบิร์น ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ ๕ ไม่ได้จุดพลุในระหว่างร้องเพลงตามที่นางสาวเบญจรัตน์กล่าวหา และไม่ได้เป็นผู้ทำให้เกิดเพลิงไหม้ โดยอ้างแผ่นดีวีดีที่ได้มาจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตามเอกสารหมาย ล. ๙ มาเป็นพยาน ส่วนจำเลยที่ ๖ และที่ ๗ นั้น จำเลยที่ ๖ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ ๗ เป็นกรรมการผู้แทน นิติบุคคลตามกฎหมาย จำเลยที่ ๗ ได้รับการว่าจ้างในนามส่วนตัวจากบริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ให้เป็นผู้ดำเนินการจัดการแสดงแสงสีเสียงสำหรับการจัดงานรื่นเริงในร้านซานติก้าผับ เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๑๓ นาฬิกา จำเลยที่ ๗ กับพวกได้ทำการติดตั้งแสงสีเสียงและเอฟเฟ็กต์ที่บริเวณเวทีในร้านซานติก้าผับ หลังจากที่ติดตั้งและตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว เวลาประมาณ ๑๙ นาฬิกา จำเลยที่ ๗ กับพวกก็กลับไป ส่วนการจุดเอฟเฟ็กต์ ให้เป็นหน้าที่ของพนักงานในร้านซานติก้าผับ สำหรับเอฟเฟ็กต์ที่ติดตั้งนั้นได้ติดตั้งที่หน้ากลองชุด เป็นเอฟเฟ็กต์ประเภทซิลเวอร์เจ็ต จำนวน ๑ กระบอก และเป็นไพโรเทคนิคบอมบ์ จำนวน ๖ กระบอก ซึ่งเอฟเฟ็กต์ประเภทซิลเวอร์เจ็ต เมื่อจุดแล้วจะพุ่งขึ้นไม่สูง มีไฟสวยงาม ใช้มืออังได้ ไม่เกิดความร้อน ส่วนเอฟเฟ็กต์ประเภทไพโรเทคนิคบอมบ์ เมื่อจุดแล้วมีแสงไฟสว่างเพียงแวบเดียว และมีเสียงดังเท่านั้น กรณีเอฟเฟ็กต์ดังกล่าวจึงไม่ใช่สาเหตุทำให้เกิดเพลิงไหม้ อีกทั้งมีลูกค้าที่เข้าไปเที่ยว เห็นเหตุการณ์ในช่วงที่นับถอยหลังก่อนเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ มีการจุดไฟเย็น เห็นลูกค้าที่เข้ามาเที่ยวไม่ทราบว่าเป็นใครโยนแท่งไฟเย็นขึ้นไปขึ้นฟ้า และจากภาพที่ถ่ายได้ตามแผ่นดีวีดีเอกสารหมาย จ. ๓๓ เห็นมีการจุดดอกไม้เพลิง (พลุ) ของลูกค้าที่เข้ามาเที่ยวบริเวณชั้นลอยในร้านซานติก้าผับ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งสองดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ก็ได้ นอกจากนี้ แผ่นดีวีดีตามเอกสารหมาย จ. ๔๗ ยังมีการตกแต่งและตัดต่อภาพอีกด้วย หลังจากเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ กับผู้ถือหุ้นบางรายของบริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้ให้เงินช่วยเหลือแก่ทายาทของผู้เสียชีวิตจำนวน ๕๒ ราย และผู้บาดเจ็บจำนวน ๑๕๘ ราย รวมเป็นเงิน ๓,๓๙๔,๘๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย ล. ๒๖ และ ล. ๒๗
พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ โจทก์ร่วมทั้งหมด และจำเลยทั้งเจ็ดโดยตลอดแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยมีจำเลยที่ ๑ เป็นกรรมการผู้จัดการมีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทแต่เพียงผู้เดียว บริษัทดังกล่าวมีทุนจดทะเบียน ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท มีผู้ถือหุ้นจำนวน ๗ คน จำเลยที่ ๑ ถือหุ้นจำนวน ๑๘๐ หุ้น ราคาหุ้นละ ๕,๐๐๐ บาท จากจำนวนหุ้นทั้งหมด ๒๔๐ หุ้น บริษัทดังกล่าวประกอบกิจการให้บริการจำหน่ายอาหาร สุรา เครื่องดื่ม มีการแสดงดนตรี และการบันเทิงแก่ลูกค้า โดยเปิดทำการตั้งแต่เวลาประมาณ ๑๙:๐๐ นาฬิกา ถึง เวลาประมาณ ๐๒:๐๐ นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น ใช้ชื่อทางการค้าว่า ซานติก้าผับ (Santika Pub) ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ ๒๓๕/๑๑ ระหว่างซอยเอกมัย ๙–๑๑ ถนนสุขุมวิท ๖๓ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๗ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้จัดการ โดยให้นายสุริยา หรือตั้ม ฤทธิ์ระบือ ซึ่งมิได้ถือหุ้นบริษัทแม้แต่เพียงหุ้นเดียว เข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการแทนจำเลยที่ ๑ ครั้นวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้จดทะเบียนเพิ่มทุน บริษัทดังกล่าวจึงมีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีผู้ถือหุ้นจำนวน ๓๑ คน จำเลยที่ ๑ ถือหุ้นจำนวน ๑๒๙ หุ้น ราคาหุ้นละ ๕,๐๐๐ บาท จากจำนวนหุ้นทั้งหมด ๔๐๐ หุ้น ซึ่งจำเลยที่ ๑ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวมีจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ เป็นพนักงานลูกจ้างของร้านซานติก้าผับ จำเลยที่ ๖ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ ๗ เป็นกรรมการผู้แทนนิติบุคคลตามกฎหมาย ซึ่งบริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้ว่าจ้างโดยติดต่อกับจำเลยที่ ๗ ให้เป็นผู้ดำเนินการจัดการแสดงแสงสีเสียงสำหรับการจัดงานรื่นเริงในร้านซานติก้าผับ เมื่อประมาณเดือนธันวาคม ๒๕๕๑ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้จัดการประชุมผู้ถือหุ้น และมีการชี้แจงเรื่องสถานะทางการเงินของทางบริษัทว่า ประสบปัญหาขาดทุน ประกอบกับเจ้าของที่ดินของร้านซานติก้าผับต้องการที่ดินดังกล่าวคืน ผู้เข้าร่วมประชุมดังกล่าวจึงมีมติปิดกิจการร้านซานติก้าผับลง ต่อมา วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้จัดให้มีการแถลงข่าวการปิดกิจการของร้านซานติก้าผับ พร้อมกับจัดงานฉลองเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยมีจำเลยที่ ๑ กับพวกได้ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อประชาสัมพันธ์ชักชวนให้ลูกค้าเข้าไปใช้บริการในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ครั้นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ร้านซานติก้าผับได้จัดให้มีงานรื่นเริงตามที่ได้แถลงข่าว ต่อมา วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒ เวลาประมาณ ๐:๒๐ นาฬิกา ร้านซานติก้าผับได้เกิดเพลิงลุกไหม้ เป็นเหตุให้ลูกค้าผู้เข้าไปใช้บริการในอาคารที่เกิดเหตุถึงแก่ความตายจำนวน ๖๗ คน ซึ่งผู้เสียชีวิตดังกล่าวมีบุคคลที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปีจำนวน ๒ คน ได้รับอันตรายสาหัสจำนวน ๔๕ คน ได้รับอันตรายแก่กายจำนวน ๗๒ คน และทรัพย์สินของลูกค้าผู้เข้าใช้บริการได้รับความเสียหาย หลังเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อได้ประสานงานให้กองพิสูจน์หลักฐานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ ต่อมา รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมจะเสนอขอโอนคดีนี้เป็นคดีพิเศษ โดยให้การสอบสวนขึ้นตรงต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ระหว่างเสนอเรื่องขอโอนคดี กระทรวงยุติธรรมจึงมีคำสั่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ จึงทำให้มีหน่วยงานที่ตรวจพิสูจน์หลักฐาน ๒ หน่วยงาน คือ กองพิสูจน์หลักฐานตามการประสานงานของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตามคำสั่งของกระทรวงยุติธรรม ครั้นต่อมาภายหลัง ได้มีการเสนอเรื่องให้คณะกรรมการคดีพิเศษพิจารณาว่า คดีนี้เป็นคดีพิเศษหรือไม่ ผลปรากฏว่า คณะกรรมการดังกล่าวมีมติว่า คดีนี้ไม่ใช่เป็นคดีพิเศษ ดังนี้ อำนาจการสอบสวนจึงขึ้นตรงต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ต่อมาเมื่อมีการตรวจสถานที่เกิดเหตุแล้ว กองพิสูจน์หลักฐานได้ทำรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุ ตามเอกสารหมาย จ. ๒๓ แผ่นที่ ๑ ถึงแผ่นที่ ๙๐ ส่วนสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ยังตรวจพบพยานหลักฐานเพิ่มเติมอีกคือ กล้องวิดีโอที่ถูกเพลิงไหม้บริเวณเคาน์เตอร์ควบคุมเสียงในที่เกิดเหตุ ซึ่งกล้องวิดีโอดังกล่าวเป็นกล้องวิดีโอที่บันทึกภาพการแสดงดนตรีบนเวทีในคืนเกิดเหตุ ปรากฏว่า ตัวกล้องวีดีโอบิดเบี้ยว และพบม้วนเทปวีดีโออยู่ในกล้องจำนวน ๑ ม้วน แต่ม้วนเทปอยู่ในสภาพบุบสลายบางส่วน ไม่สามารถเปิดดูได้ จึงได้ทำการนำเนื้อเทปออกมาใส่ตลับเทปม้วนใหม่ และนำข้อมูลภาพในเนื้อเทปนำมาบันทึกในแผ่นดีวีดี แล้วนำไปเปิดโดยใช้โปรแกรม Windows Media Player ตามแผ่นดีวีดี เอกสารหมาย จ. ๔๗ (เหมือนกับแผ่นดีวีดีตามเอกสารหมาย ล. ๙) และตรวจพบสารเสพติดโคเคนบริเวณโซฟาภายในห้องพักของนักแสดง และพบสารเสพติดโคเคนที่ตู้ ๔ ลิ้นชักยี่ห้อ Pilot ภายในห้องฝ่ายสำนักงาน ตามรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ. ๒๓ แผ่นที่ ๙๑ ถึงแผ่นที่ ๒๓๘ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งเจ็ดกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ในเบื้องต้นเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า เหตุเพลิงไหม้เกิดจากสาเหตุอะไร โจทก์มีพันตำรวจโท มนตรี อามินเซ็น ผู้ตรวจพิสูจน์หลักฐานของกองพิสูจน์หลักฐาน และพันตำรวจโท สมชายหรือวัชรัศมิ์ เฉลิมสุขสันต์ ผู้ตรวจพิสูจน์หลักฐานของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติตามหน้าที่ และไม่มีส่วนได้เสียกับคู่ความฝ่ายใด เบิกความประกอบรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ. ๒๓ ในทำนองเดียวกันว่า ได้ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ไม่พบคราบน้ำมันเชื้อเพลิง และไม่พบร่องรอยการลัดวงจรของกระแสไฟฟ้า การลุกลามของไฟเป็นรูปแบบการไหม้จากด้านในอาคาร ไม่พบการลุกไหม้จากภายนอกหรือบนหลังคาภายนอกเข้าไปสู่ด้านในของอาคารนั้น เห็นว่า คดีนี้ ในคืนเกิดเหตุมีการจุดดอกไม้เพลิง (พลุ) ในโอกาสฉลองเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่บริเวณภายนอกของร้านซานติก้าผับ เมื่อผู้ตรวจพิสูจน์หลักฐานตรวจไม่พบการลุกไหม้จากภายนอกหรือบนหลังคาภายนอกเข้าไปสู่ด้านในของอาคาร ดังนั้น การจุดดอกไม้เพลิง (พลุ) ที่บริเวณภายนอกของร้านซานติก้าผับดังกล่าวจึงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ อีกทั้งเหตุเพลิงไหม้ก็ไม่ได้เกิดจากการวางเพลิงหรือกระแสไฟฟ้าลัดวงจร เพราะตรวจไม่พบคราบน้ำมันเชื้อเพลิงหรือร่องรอยการลัดวงจรของกระแสไฟฟ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมแสดงว่าเหตุเพลิงไหม้เกิดจากการลุกไหม้จากภายในร้านซานติก้าผับนั่นเอง สำหรับเหตุการณ์ภายในร้านซานติก้าผับจะเป็นอย่างไรนั้น โจทก์มีประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม โดยกลุ่มแรกมี นางสาวฐิติมาพร จะริกะ, นางสาวสุขุมาภรณ์ พึ่งบุญพานิชย์, นายสุรพงษ์ เตียวสุวรรณ, นายประลองยุทธ ผงงอย, นางสาวประภัสรา จันทนะ และนายนฤพัฒน์ ธรรมคุปต์ เบิกความในทำนองเดียวกันว่า ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๒๓:๔๕ นาฬิกา ร้านซานติก้าผับได้มีการแจกแท่งไฟเย็นให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาเที่ยว จากนั้น พิธีกรบนเวทีได้ประกาศว่า ทางหน้าร้านด้านนอกจะมีการจุดพลุ โดยจุดจากอาคารพาณิชย์ร้างที่อยู่ริมถนนเอกมัย ๖๓ หน้าร้านซานติก้าผับ ต่อมา ใกล้เวลาเที่ยงคืน พิธีกรบนเวทีได้ประกาศให้ลูกค้าที่ได้รับแท่งไฟเย็นให้ทำการจุดไฟเย็น พร้อมกับมีการนับถอยหลัง เมื่อนับถึงศูนย์ ซึ่งหมายถึงเข้าสู่ปีใหม่ จากนั้น มีการจุดริบบิ้นกระดาษที่บริเวณหน้าเวทีและบนเพดานของร้าน ทำให้ริบบิ้นกระดาษโปรยไปทั่วทั้งร้าน ขณะเดียวกัน พิธีกรบนเวทีได้ประกาศว่า ทางด้านนอกของร้านมีการจุดพลุอยู่ ใครสนใจก็ให้ออกไปดู หลังจากนั้น พิธีกรก็ลงจากเวที และมีการแสดงของวงดนตรีเบิร์น โดยมีนักร้องขึ้นมาร้องเพลง จนกระทั่งถึงเวลาประมาณ ๐:๒๐ นาฬิกาของวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒ นักร้องได้ร้องเพลง “อิสต์มายไลฟ์” (It’s My Life) ขณะเพลงดังกล่าวใกล้จะจบ โดยร้องประโยคสุดท้ายว่า “อิสต์มายไลฟ์” ก็มีเอฟเฟ็กต์ (effect) เกิดขึ้นบนเวทีหลายจุด แต่มีเอฟเฟ็กต์อันหนึ่งที่อยู่ระหว่างด้านหลังของนักร้องกับหน้ากลองชุดได้ปล่อยประกายไฟหลากสีพุ่งในแนวตั้งสูงจรดเพดาน พร้อมกับวงดนตรีเริ่มเล่นเพลง “อะโบเดเบย์” เมื่อวงดนตรีบรรเลงถึงกลางเพลงดังกล่าว ได้มีสะเก็ดไฟร่วงลงมาจากเพดานบนเวที จากนั้น มองขึ้นไปยังเพดานดังกล่าว เห็นมีเปลวไฟลุกไหม้บริเวณเพดานบนเวทีเยื้องไปทางด้านขวามือ (เมื่อหันหน้าเข้าหาเวที) ตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ. ๒๓ แผ่นที่ ๑/๘๘ ภาพที่ ๑๕๑ สักครู่ก็ลุกลามกระจายออกไปทั้งสองด้านซ้ายขวา จนเกิดเพลิงไหม้ร้านซานติก้าผับ ส่วนกลุ่มที่สองมี นางสาวเบญจรัตน์ อินทยากร และนายพงษ์ศิริ วงษ์เซ็ง เบิกความในทำนองเดียวกันว่า หลังจากที่พิธีกรลงจากเวทีแล้ว ก็มีการแสดงของวงดนตรีเบิร์น ขณะที่จำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นนักร้องและนักร้องชาวต่างชาติกำลังร้องเพลง “อิสต์มายไลฟ์” นางสาวเบญจรัตน์เห็นจำเลยที่ ๕ เดินจากหน้าเวทีไปหลังเวทีในลักษณะสลับไปสลับมา และเห็นจำเลยที่ ๕ เดินไปบริเวณหน้ากลองชุด แล้ววางกระบอกซึ่งนางสาวเบญจรัตน์เข้าใจว่าเป็นพลุตรงบริเวณพื้นเวที จากนั้น จำเลยที่ ๕ ก็ร้องเพลง “อิสต์มายไลฟ์” ต่อจนจบ แต่ดนตรีเพลง “อิสต์มายไลฟ์” ยังคงบรรเลงอยู่ นางสาวเบญจรัตน์เห็นจำเลยที่ ๕ เดินไปยังบริเวณที่วางกระบอกดังกล่าว แล้วใช้ไฟแช็กจุดชนวน ทำให้พลุติดไฟและพุ่งขึ้นไปชนเพดาน นางสาวเบญจรัตน์มองตามขึ้นไปเห็นบริเวณเพดานมีไฟลุกไหม้ หลังจากนั้น ก็มีนักร้องซึ่งสวมเสื้อแขนยาวสีขาวขึ้นเวทีมาอีกคน และได้ร้องเพลง “อะโบเดเบย์” ต่อ สักครู่หนึ่งก็เกิดเพลิงไหม้ร้านซานติก้าผับ ส่วนนายพงษ์ศิริไม่เห็นจำเลยที่ ๕ จุดพลุ แต่เห็นจำเลยที่ ๕ ถือพลุมีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณไมโครโฟน ยาวไม่เกิน ๑ ฟุต แล้วนำมาวางไว้ที่หน้ากลองชุดในลักษณะแนวตั้งเท่านั้น เห็นว่า ประจักษ์พยานทั้งสองกลุ่มของโจทก์เบิกความเกี่ยวกับช่วงเวลาเกิดเหตุตรงกัน กล่าวคือ ช่วงเวลาเกิดเหตุเกิดขึ้นระหว่างที่นักร้องได้ร้องเพลง “อิสต์มายไลฟ์” กับเพลง “อะโบเดเบย์” แต่เบิกความเกี่ยวกับเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุแตกต่างกัน โดยกลุ่มแรกเบิกความว่า มีการจุดเอฟเฟ็กต์หลายจุด และมีเอฟเฟ็กต์อันหนึ่งที่อยู่ระหว่างด้านหลังของนักร้องกับหน้ากลองชุดได้ปล่อยประกายไฟหลากสีพุ่งในแนวตั้งสูงจรดเพดาน หลังจากนั้น ไม่นานก็เกิดเพลิงไหม้ ส่วนกลุ่มที่สองมีนางสาวเบญจรัตน์เพียงปากเดียวเบิกความว่า เห็นจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นนักร้องเดินไปใช้ไฟแช็กจุดพลุตรงบริเวณกระบอกที่วางอยู่หน้ากลองชุด หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งประจักษ์พยานทั้งสองกลุ่มดังกล่าวเบิกความเกี่ยวกับเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุขัดแย้งกัน แต่เมื่อพิจารณาแผ่นดีวีดีที่ได้จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตามเอกสารหมาย จ. ๔๗ (เหมือนกับแผ่นดีวีดีตามเอกสารหมาย ล. ๙) ซึ่งเป็นแผ่นดีวีดีที่แสดงถึงภาพเหตุการณ์ในขณะที่นักดนตรีวงเบิร์นกำลังแสดงอยู่บนเวทีจนกระทั่งเกิดเพลิงไหม้ในคืนเกิดเหตุ ประกอบกับได้ความจาก นายอนุวัต ปิลาผล ผู้ตรวจพิสูจน์ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ว่า นายอนุวัตเป็นผู้จัดทำแผ่นดีวีดีดังกล่าว โดยนำม้วนเทปซึ่งอยู่ในกล้องวิดีโอที่ถูกเพลิงไหม้ ปรากฏว่าม้วนเทปดังกล่าวอยู่ในสภาพบุบสลายบางส่วน ไม่สามารถเปิดดูได้ จึงได้ทำการนำเนื้อเทปออกมาใส่ตลับเทปม้วนใหม่ และนำข้อมูลภาพในเนื้อเทปนำมาบันทึกในแผ่นดีวีดีดังกล่าว โดยไม่มีการตัดต่อหรือเปลี่ยนแปลงภาพและเสียงแต่อย่างใด จึงนับว่า เป็นพยานหลักฐานที่แสดงถึงเหตุการณ์การเกิดเพลิงไหม้ได้อย่างชัดเจน เมื่อเปิดแผ่นดีวีดีดังกล่าวดู ในช่วงที่นักร้องได้ร้องเพลง “อิสต์มายไลฟ์” และเพลง “อะโบเดเบย์” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประจักษ์พยานของโจทก์ทุกปากเบิกความว่าเป็นช่วงเวลาเกิดเหตุ จะเห็นได้ว่า จำเลยที่ ๕ ถือไมโครโฟนอยู่ในมือ และเป็นผู้ร้องเพลง “อิสต์มายไลฟ์” เมื่อเพลง “อิสต์มายไลฟ์” ใกล้จะจบ โดยร้องประโยคสุดท้ายว่า “อิสต์มายไลฟ์” หลังจากนั้นดนตรีก็บรรเลงเพลง “อะโบเดเบย์” พร้อมกับมีการจุดเอฟเฟ็กต์ด้วยไฟฟ้าบริเวณหน้ากลองชุดบนเวทีดนตรี จำนวน ๑ ครั้ง ซึ่งไฟเอฟเฟ็กต์มีลักษณะเป็นพลุไฟชนิดเม็ดดาว คือ เมื่อจุดแล้ว พลุจะกระจายออกมาเป็นสะเก็ดดาว บางลูกกระจายขึ้นไป และมีบางลูกตกลงบนพื้นเวทีดนตรี หลังจากนั้นก็เกิดเพลิงไหม้ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๕ ได้ใช้ไฟแช็ก จุดพลุตรงบริเวณกระบอกที่วางอยู่หน้ากลองชุดตามที่นางสาวเบญจรัตน์เบิกความแต่อย่างใด แม้ข้อมูลภาพในช่วงดังกล่าวบางตอนจะไม่ได้ถ่ายภาพจำเลยที่ ๕ ตลอดเวลาที่ร้องเพลงก็ตาม แต่ช่วงเวลาบางตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยที่ ๕ จะใช้ช่วงเวลานั้นไปจุดพลุได้ ซึ่งเหตุการณ์ในแผ่นดีวีดีดังกล่าวก็สอดคล้องกับคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ในกลุ่มแรก ดังนั้น เหตุการณ์น่าจะเป็นไปตามคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ในกลุ่มแรกมากกว่า นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุของกองพิสูจน์หลักฐาน ตามเอกสารหมาย จ. ๒๓ แผ่นที่ ๗ ข้อที่ ๗.๘.๑ ที่ระบุว่า มีการพบซากชิ้นส่วนของดอกไม้เพลิง (พลุ) ซึ่งเป็นเอฟเฟ็กต์อยู่บนเวทีตรงกลางหน้ากลองชุด เป็นปลอกกระดาษสภาพไหม้เกรียม พร้อมส่วนที่ใช้ปิดหัวท้ายของดอกไม้เพลิง (พลุ) หลายชิ้น จะเห็นได้ว่า หากจำเลยที่ ๕ เป็นผู้จุดดอกไม้เพลิง (พลุ) ตามที่นางสาวเบญจรัตน์เบิกความจริงแล้ว ส่วนที่ใช้ปิดหัวท้ายของดอกไม้เพลิง (พลุ) น่าจะพบเพียงชิ้นเดียว แต่ความกลับปรากฏว่าพบหลายชิ้น ดังนี้ ย่อมแสดงว่าเอฟเฟ็กต์ที่ถูกติดตั้งบริเวณหน้ากลองชุดเป็นเอฟเฟ็กต์ที่ทำมาจากดอกไม้เพลิง (พลุ) และตามรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตามเอกสารหมาย จ. ๒๓ แผ่นที่ ๑๑๐ ข้อที่ ๘.๓.๑.๑ ยังระบุอีกว่า มีการเก็บเศษวัสดุที่ใช้ในการตกแต่งหน้าเวทีที่ถูกเพลิงไหม้ไป ตรวจสอบ ปรากฏว่า เป็นวัสดุที่ลุกติดไฟได้ดี และเมื่อเผาไหม้แล้วจะให้แก๊ส HCN<ref>[[w:ไฮโดรเจนไซยาไนด์|ไฮโดรเจนไซยาไนด์]] (hydrogen cyanide) ''— [เชิงอรรถของ วิกิซอร์ซ].''</ref> ซึ่งเป็นแก๊สพิษ อีกทั้งยังมีการทดลองจุดดอกไม้เพลิง (พลุ) ซึ่งเมื่อจุดแล้ว มีลักษณะของลูกไฟคล้ายกับที่ปรากฏในข้อมูลภาพในแผ่นดีวีดี และมีการนำวัสดุที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับวัสดุที่ใช้ในการตกแต่งเวทีและตกแต่งภายในสถานบริการมาวางไว้ในระดับความสูงใกล้เคียงกับสถานที่เกิดเหตุ พบว่า เมื่อทดลองจุดดอกไม้เพลิง (พลุ) ลูกไฟจะพุ่งกระจายขึ้นไปถูกวัสดุ ที่ระดับความสูงดังกล่าว และวัสดุนั้นติดไฟและลุกลามได้ ซึ่งผู้ตรวจพิสูจน์สรุปความเห็นว่า ดอกไม้เพลิง (พลุ) สามารถทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ ดังนี้ จากความเห็นของผู้ตรวจพิสูจน์ ประกอบกับคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ และข้อมูลภาพในแผ่นดีวีดีแล้ว เชื่อว่า สาเหตุการเกิดเพลิงไหม้เกิดจากการจุดเอฟเฟ็กต์ คดีมีปัญหาต้องพิจารณาต่อไปอีกว่า กระบอกเอฟเฟ็กต์กระบอกไหนที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ ในเรื่องนี้ เมื่อพิจารณาข้อมูลภาพและเสียงในแผ่นดีวีดีโดยละเอียดแล้ว เห็นว่า กระบอกเอฟเฟ็กต์ที่อยู่หน้ากลองชุดมีทั้งหมดจำนวน ๗ กระบอก แต่ละกระบอกบริเวณยอดกระบอกจะมีสีดำ ยกเว้นกระบอกเอฟเฟ็กต์ที่อยู่กลางเวที (กระบอกที่ ๔) เท่านั้นที่มีส่วนฐานเป็นสีดำ เมื่อสังเกตข้อมูลภาพและฟังเสียงในแผ่นดีวีดีให้ดี จะเห็นว่า เมื่อมีการจุดเอฟเฟ็กต์แล้ว กระบอกเอฟเฟ็กต์จะมีลูกไฟพุ่งในแนวตั้งขึ้นไป ยกเว้นกระบอกเอฟเฟ็กต์ที่อยู่กลางเวทีเพียงกระบอกเดียวเท่านั้นที่มีสะเก็ดไฟพุ่งลงพื้นเวทีและมีไฟติดนานที่สุด ต่อมา ก็จะได้ยินเสียงคนพูดในแผ่นดีวีดี โดยพูดคำว่า “ใครติดกลับหัววะ” ประกอบกับ จำเลยที่ ๗ เคยให้การในชั้นสอบสวนในฐานะเป็นพยาน ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ. ๕๙ แผ่นที่ ๕ ระบุว่า เหตุที่เอฟเฟ็กต์บริเวณด้านหน้ากลองกลางเวที เมื่อจุดแล้วมีไฟพุ่งลงด้านล่าง เป็นเพราะการติดตั้งผิดพลาดโดยติดตั้งกลับหัว ดังนี้ ย่อมแสดงว่า กระบอกเอฟเฟ็กต์ที่อยู่กลางเวทีดังกล่าวถูกติดตั้งผิดพลาด โดยติดตั้งกลับหัว จึงทำให้มีสะเก็ดไฟพุ่งลงพื้นเวทีเพียงกระบอกเดียว ดังนั้น กระบอกเอฟเฟ็กต์ ที่อยู่กลางเวทีจึงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งก็สอดคล้องกับความเห็นของพันตำรวจโท มนตรี อามินเซ็น ผู้ตรวจพิสูจน์ของกองพิสูจน์หลักฐานที่ว่า จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุ บริเวณที่มีความเสียหายมากที่สุด คือ บริเวณเหนือซุ้มหน้าเวทีดนตรีข้างขวามือ (เมื่อหันหน้าเข้าหาเวที) เป็นบริเวณที่ระยะเวลาของการลุกไหม้นานกว่าบริเวณอื่น ซึ่งผู้ตรวจพิสูจน์หลักฐานมีความเห็นว่า น่าจะเป็นจุดต้นเพลิง เมื่อเป็นเช่นนี้ กระบอกเอฟเฟ็กต์ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ น่าจะเป็นกระบอกเอฟเฟ็กต์ที่อยู่ทางขวามือ (เมื่อหันหน้าเข้าหาเวที) อันนับว่าเป็นข้อสนับสนุนและยืนยันอีกประการหนึ่งว่า จำเลยที่ ๕ มิได้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้ ดังนี้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักในการรับฟัง ส่วนที่จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ นำสืบต่อสู้ว่า แผ่นดีวีดีตามเอกสารหมาย จ. ๔๗ อาจถูกตัดต่อภาพ เนื่องจากการลำดับภาพเหตุการณ์ในแผ่นดีวีดีดังกล่าวไม่ตรงกับความจริง โดยเฉพาะช่วงวินาทีที่ ๒๒:๐๒ ซึ่งเป็นเพลง “ใจกลางความเจ็บปวด” ที่ได้ร้องหลังจากช่วงเวลาที่นับถอยหลังก่อนเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ แต่ความจริงแล้ว เพลงดังกล่าวจะต้องร้องก่อนช่วงเวลาที่นับถอยหลัง โดยมีนางสาวนงลักษณ์ รอดจันทร์ มาเบิกความสนับสนุนนั้น เห็นว่า ในคืนเกิดเหตุนางสาวนงลักษณ์ได้ไปร้านซานติก้าผับพร้อมกับนายสุพัฒน์ ศรีแจ่ม ซึ่งเป็นอดีตแฟน แต่กลับเบิกความแตกต่างขัดแย้งกัน กล่าวคือ นางสาวนงลักษณ์ เบิกความว่า เมื่อเข้าไปถึงร้านซานติก้าผับ ขณะนั้น วงดนตรีเบิร์นกำลังเล่นเพลง “ใจกลางความเจ็บปวด” พอเพลงจบก็มีพิธีกรขึ้นมาบนเวที ๒ คน เพื่อนับถอยหลังก่อนเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ ส่วนนายสุพัฒน์ เบิกความว่า เมื่อเข้าไปถึงร้านซานติก้าผับ ขณะนั้น เป็นช่วงที่มีพิธีกรขึ้นมาบนเวทีเพื่อนับถอยหลังก่อนเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ ดังนี้ ข้อแตกต่างดังกล่าวย่อมทำลายน้ำหนักคำพยานของจำเลยที่ ๖ และที่ ๗ มิให้เป็นที่เชื่อถือ ประกอบกับเมื่อพิจารณาแผ่นดีวีดีตามเอกสารหมาย จ. ๔๗ จะเห็นได้ว่า ขณะที่วงดนตรีเบิร์นกำลังเล่นเพลง “ใจกลางความเจ็บปวด” หากสังเกตบนเวทีให้ดี จะเห็นสายรุ้งห้อยลงมา ๒ เส้น ซึ่งสายรุ้งดังกล่าวเกิดจากการยิงเปเปอร์ชูตในช่วงเวลาที่นับถอยหลัง ดังนั้น เพลงดังกล่าวจะต้องร้องหลังจากมีการนับถอยหลังแล้ว อีกทั้งพยานของจำเลยที่ ๖ และที่ ๗ โดยเฉพาะพยานปากนายสนธิชัย บวรไกรศรี ซึ่งมีความชำนาญในการตัดต่อภาพ เบิกความว่า จากการตรวจสอบแผ่นดีวีดีที่บันทึกเหตุการณ์เกิดเหตุ มีความเห็นว่า แผ่นดีวีดีดังกล่าวไม่มีการตัดต่อภาพ มีแต่เพียงตกแต่งภาพเท่านั้น ดังนั้น ที่จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ ต่อสู้ว่า แผ่นดีวีดีดังกล่าวมีการตัดต่อภาพ จึงไม่น่าเชื่อถือ ส่วนที่จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ นำสืบต่อสู้ว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ไม่ได้เกิดจากการจุดเอฟเฟ็กต์ เนื่องจากเอฟเฟ็กต์ที่ใช้ติดตั้งนั้นเป็นประเภทซิลเวอร์เจ็ต และไพโรเทคนิคบอมบ์ ซึ่งเอฟเฟ็กต์ประเภทซิลเวอร์เจ็ตเมื่อจุดแล้วจะพุ่งขึ้นไม่สูง มีไฟสวยงาม ใช้มืออังได้ ไม่เกิดความร้อน ส่วนเอฟเฟ็กต์ประเภทไพโรเทคนิคบอมบ์เมื่อจุดแล้ว มีแสงไฟสว่างเพียงแวบเดียว และมีเสียงดังเท่านั้น โดยมีนายนวพล ยศเจริญ และนายพงษ์เทพ สมพิศ มาเบิกความสนับสนุนนั้น เห็นว่า พยานของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นเพียงผู้มีประสบการณ์ในการติดตั้งเอฟเฟ็กต์เท่านั้น หาใช่เป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริงไม่ และในเรื่องนี้ ได้ความจากพลตรีเผด็จ สุวรรณธาดา พยานโจทก์ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการผลิตพลุสัญญาณทางทหาร และดอกไม้เพลิงที่ใช้ในงานพิธีต่าง ๆ ทั้งเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนวิทยาศาสตร์ทหารบกที่สอนเกี่ยวกับพลุ อันนับเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านพลุโดยตรง ว่า จากการดูภาพเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุตามแผ่นดีวีดีเอกสารหมาย ล. ๙ (เหมือนกับแผ่นดีวีดีตามเอกสารหมาย จ. ๔๗) เมื่อมีการจุดเอฟเฟ็กต์ จะเห็นเปลวไฟพุ่งออกมา และเกิดสีต่าง ๆ โดยสีแต่ละสีขึ้นอยู่กับส่วนผสมของแร่ธาตุที่บรรจุอยู่ในเอฟเฟ็กต์ และประกายไฟที่ออกมานั้น อาจจะเป็นประกายไฟที่เกิดจากดินส่งก็ได้ ซึ่งประกายไฟที่เกิดจากดินส่งจะมีอุณหภูมิประมาณ ๒๐๐ องศาเซลเซียส และถ้าเป็นประกายไฟที่เกิดจากแร่ธาตุจะมีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ องศาเซลเซียส ดังนี้ ย่อมแสดงว่า เอฟเฟ็กต์ที่ใช้มีความร้อนสูง ดังนั้น ข้อต่อสู้ของจำเลยที่อ้างว่า เอฟเฟ็กต์ที่ใช้ไม่เกิดความร้อน จึงไม่น่าเชื่อถือ ส่วนที่จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ นำสืบต่อสู้ว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้อาจเกิดจากการจุดไฟเย็นของลูกค้าที่เข้ามาเที่ยว โดยมีนายสุพัฒน์ ศรีแจ่ม มาเบิกความว่า ในช่วงที่นับถอยหลังก่อนเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ มีการจุดไฟเย็น เห็นลูกค้าที่เข้ามาเที่ยวไม่ทราบว่าเป็นใครโยนแท่งไฟเย็นขึ้นฟ้า และนายสุพัฒน์คิดว่า น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้นั้น เห็นว่า หากสาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้เกิดจากการจุดไฟเย็นแล้ว จุดต้นเพลิงก็น่าจะเกิดตรงบริเวณที่ลูกค้าโยนแท่งไฟเย็นซึ่งเป็นบริเวณห้องโถงใหญ่ แต่กลับได้ความจากผู้ตรวจพิสูจน์หลักฐานของกองพิสูจน์หลักฐานและของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่า จุดต้นเพลิงอยู่บริเวณเหนือซุ้มหน้าเวทีดนตรีข้างขวามือ (เมื่อหันหน้าเข้าหาเวที) ดังนั้น ไฟเย็นจึงไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ ส่วนที่จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ นำสืบต่อสู้ว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ อาจเกิดจากการจุดดอกไม้เพลิง (พลุ) ของลูกค้าที่เข้ามาเที่ยวบริเวณชั้นลอยของร้านซานติก้าผับ จากภาพที่ถ่ายได้ ตามแผ่นดีวีดีเอกสารหมาย จ. ๓๓ นั้น เห็นว่า จากภาพตามแผ่นดีวีดีดังกล่าวเป็นการจุดดอกไม้เพลิง (พลุ) บริเวณชั้นลอย แล้วประกายไฟพุ่งมาบริเวณห้องโถงใหญ่ หากเกิดจากสาเหตุนี้จริงแล้ว จุดต้นเพลิงน่าจะเกิดตรงบริเวณห้องโถงใหญ่ แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ประกอบกับการจุดดอกไม้เพลิง (พลุ) ดังกล่าวเป็นการจุดในช่วงที่นับถอยหลังก่อนเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ เมื่อพิจารณาระยะเวลาตั้งแต่การจุดดอกไม้เพลิง (พลุ) ดังกล่าวจนถึงเวลาที่เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งตามภาพเหตุการณ์ในแผ่นดีวีดีเอกสารหมาย จ. ๔๗ จะมีระยะเวลาประมาณ ๓๐ นาที จะเห็นได้ว่า เป็นระยะเวลาที่นานเกินกว่าที่จะทำให้เกิดเพลิงไหม้ กรณีจึงไม่น่าเชื่อว่า เหตุเพลิงไหม้เกิดจากการจุดดอกไม้เพลิง (พลุ) บริเวณชั้นลอย พยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบมาไม่มีน้ำหนักเพียงพอหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ เกิดจากการจุดเอฟเฟ็กต์ที่ทำมาจากดอกไม้เพลิง (พลุ) และเป็นเอฟเฟ็กต์กระบอกที่อยู่ทางขวามือ (เมื่อหันหน้าเข้าหาเวที) โดยเมื่อจุดแล้ว ลูกไฟจากกระบอกเอฟเฟ็กต์จะพุ่งกระจายขึ้นสูงในแนวตั้งจรดเพดาน ซึ่งเพดานทำด้วยวัสดุที่ติดไฟง่าย จึงทำให้เกิดการติดไฟและลุกไหม้อย่างรวดเร็ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ร้านซานติก้าผับเป็นอาคารสาธารณะ ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยขั้นพื้นฐานหรือไม่ โจทก์มีนายพิชญะ จันทรานุวัฒน์ ซึ่งเป็นรองประธานอนุกรรมการศึกษาวิจัยและพัฒนาอุบัติภัยของคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ เป็นอนุกรรมการยกร่างกฎกระทรวงระบบป้องกันอัคคีภัยของกรมโยธาธิการ เป็นกรรมการอำนวยการของสมาคมวิศวกรรมแห่งประเทศไทย และเป็นประธานอนุกรรมการมาตรฐานความปลอดภัยอาคารของสมาคมวิศวกรรมแห่งประเทศไทย เบิกความประกอบกับความเห็นพร้อมข้อสังเกต ตามเอกสารหมาย จ. ๓๖ และ จ. ๓๗ ว่า พยานได้ร่วมกับกองพิสูจน์หลักฐานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ พบว่า ร้านซานติก้าผับไม่มีการติดตั้งระบบไฟแสงสว่างฉุกเฉินในพื้นที่ใช้บริการ ไม่มีป้ายบอกทางหนีไฟ ไม่มีระบบสัญญาณเตือนเพลิงไหม้ ไม่มีแผนผังทางหนีไฟ ไม่มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ (sprinkler) และมีการใช้วัสดุตกแต่งร้านที่ติดไฟได้ง่ายและลุกลามอย่างรวดเร็ว อีกทั้งประตูทางเข้าออกมีเพียง ๔ ประตู มีประตูหนึ่งเป็นประตูของห้องวีไอพีซึ่งใช้สำหรับลูกค้าที่ไปใช้บริการในห้องวีไอพีเท่านั้น ส่วน ๓ ประตูที่เหลือเป็นประตูทางเข้าออกบริเวณห้องโถงใหญ่ สามารถรองรับจำนวนคนเข้าออกอย่างปลอดภัยได้เพียง ๔๐๘ คน โดยคำนวณตามมาตรฐานของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ส่วนประตูเล็ก ๆ จำนวน ๒ ประตูที่เป็นทางเข้าออกไปนอกระเบียงเพื่อสูบบุหรี่ และประตูเล็ก ๆ อีก ๒ ประตูที่เป็นประตูหลังเวทีที่ถูกปิดด้วยฉาก มีไว้สำหรับนักแสดงเดินเข้าออก ประตูเล็กทั้งสี่ดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเป็นประตูเข้าออกตามปกตินั้น เห็นว่า นายพิชญะจบการศึกษาปริญญาโททางด้านวิศวกรรมป้องกันอัคคีภัยจาก Worcestor Polytechnic Institute ประเทศสหรัฐอเมริกา และยังเป็นอนุกรรมการยกร่างกฎกระทรวงระบบป้องกันอัคคีภัยของกรมโยธาธิการ อีกทั้งยังเป็นประธานอนุกรรมการมาตรฐานความปลอดภัยอาคารของสมาคมวิศวกรรมแห่งประเทศไทย ย่อมแสดงว่า นายพิชญะมีความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านมาตรฐานความปลอดภัยอาคารเกี่ยวกับอัคคีภัยเป็นอย่างดี ประกอบกับนายพิชญะได้ตรวจสถานที่เกิดเหตุร่วมกับกองพิสูจน์หลักฐานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมีความเห็นอย่างตรงไปตรงมาตามหลักวิชาการ โดยใช้มาตรฐานของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย อีกทั้งนายพิชญะก็ไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด เชื่อว่า นายพิชญะเบิกความและทำความเห็นตามความเป็นจริง นอกจากนี้ ตามรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เอกสารหมาย จ. ๒๓ แผ่นที่ ๑๑๕ ข้อ ๙.๒.๔ ระบุว่า “ไม่พบระบบตรวจจับความร้อนและควัน ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ป้ายทางหนีไฟ แผนผังทางหนีไฟ และระบบดับเพลิงอัตโนมัติ” ซึ่งก็สอดคล้องกับคำเบิกความและความเห็นของนายพิชญะ ส่วนรายงานดังกล่าวข้อ ๙.๒.๕ ระบุว่า “พบไฟแสงสว่างฉุกเฉิน จำนวน ๒ จุด คือ ผนังด้านหลังเวทีดนตรีซึ่งเป็นทางเดินด้านหน้าห้องพักของนักดนตรี และที่บริเวณผนังเคาน์เตอร์ควบคุมระบบภาพแสงเสียงภายในห้องโถงใหญ่ตรงข้ามเวทีดนตรี” ซึ่งบริเวณทั้งสองจุดดังกล่าวก็มิใช่พื้นที่สำหรับลูกค้าใช้บริการ อันนับเป็นข้อสนับสนุนตามความเห็นของนายพิชญะที่ว่า ร้านซานติก้าผับไม่มีการติดตั้งระบบไฟแสงสว่างฉุกเฉินในพื้นที่ใช้บริการ ส่วนคืนเกิดเหตุ จะมีลูกค้ามาใช้บริการกี่คนนั้น ได้ความจากนายพิชญะว่า เมื่อดูภาพถ่ายในคืนเกิดเหตุเอกสารหมาย จ. ๘ ประกอบกับ ดูจากคลิปวีดีโอในคืนเกิดเหตุ นายพิชญะคำนวณโดยใช้หลักวิชาการ โดยหักพื้นที่โต๊ะที่ตั้งอยู่ในสถานที่เกิดเหตุแล้ว ประมาณว่า ในคืนเกิดเหตุมีลูกค้ามาใช้บริการอยู่ประมาณ ๑,๐๐๐ คน ถึง ๑,๒๐๐ คน ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งมีจำนวนถึง ๓๒๖ คน ตามรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุของกองพิสูจน์หลักฐานเอกสารหมาย จ. ๒๓ แผ่นที่ ๓ อีกทั้งยังได้ความจากนางสาวสุภารัตน์ รักเกียรติงาม ซึ่งเป็นผู้ส่งข้อความผ่านระบบ SMS เชิญชวนให้ลูกค้ามาร่วมงานฉลองวันส่งท้ายปีเก่าและเพื่ออำลาร้านซานติก้าผับ โดยส่งข้อความผ่านระบบ SMS ให้ลูกค้าประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน ดังนี้ เชื่อว่า ในคืนเกิดเหตุมีลูกค้ามาใช้บริการที่ร้านซานติก้าผับมากกว่า ๑,๐๐๐ คน ส่วนที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า ในคืนเกิดเหตุมีลูกค้ามาใช้บริการที่ร้านซานติก้าผับไม่เกิน ๕๐๐ คนนั้น ก็เป็นการคาดคะเนจากสายตาของพยานจำเลยเท่านั้น ไม่ได้คำนวณตามหลักวิชาการเหมือนกับพยานของโจทก์ พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักเพียงพอหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ในคืนเกิดเหตุมีลูกค้ามาใช้บริการที่ร้านซานติก้าผับมากกว่า ๑,๐๐๐ คน และร้านซานติก้าผับไม่มีการติดตั้งระบบไฟ แสงสว่างฉุกเฉินในพื้นที่ใช้บริการ ไม่มีป้ายบอกทางหนีไฟ ไม่มีระบบสัญญาณเตือนเพลิงไหม้ ไม่มีแผนผังทางหนีไฟ ไม่มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ (sprinkler) และมีการใช้วัสดุตกแต่งร้านที่ติดไฟได้ง่ายและลุกลามอย่างรวดเร็ว อีกทั้งประตูทางเข้าออกสามารถรองรับจำนวนคนเข้าออกอย่างปลอดภัยได้เพียง ๔๐๘ คน สำหรับร้านซานติก้าผับจะเป็นอาคารสาธารณะหรือไม่นั้น ในเรื่องนี้ตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙ ประกอบกับพระราชบัญญัติสถานบริการ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้กำหนดนิยาม “สถานบริการ” หมายความว่า สถานที่ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการโดยหวังประโยชน์ในทางการค้าดังต่อไปนี้
(๑) {{gap|0.5em}} ...
(๒) {{gap|0.5em}} ...
(๓) {{gap|0.5em}} ...
(๔) {{gap|0.5em}} ...
(๕) {{gap|0.5em}} สถานที่ที่มีอาหาร สุรา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่าย โดยจัดให้มีการแสดงดนตรี หรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง ซึ่งปิดทำการหลังเวลา ๒๔:๐๐ นาฬิกา
และตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ.๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.๒๕๒๒ ตามเอกสารหมาย จ. ๓๘ ได้กำหนดนิยาม “อาคารสาธารณะ” หมายความรวมถึง สถานบริการด้วย ดังนี้ เมื่อร้านซานติก้าผับประกอบกิจการให้บริการจำหน่ายอาหาร สุรา เครื่องดื่ม โดยมีการแสดงดนตรี และการบันเทิง แก่ลูกค้า และปิดทำการหลังเวลา ๒๔:๐๐ นาฬิกา จึงถือว่า ร้านซานติก้าผับเป็นสถานบริการ และเป็นอาคารสาธารณะ นอกจากนี้ กฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ.๒๕๔๐) ดังกล่าว ได้กำหนดเกี่ยวกับอาคารซึ่งก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้าย โดยได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.๒๕๒๒ หรืออาคารซึ่งได้ก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้าย ก่อนวันที่พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.๒๕๒๒ ใช้บังคับ ในกรณีที่เป็นอาคารสาธารณะมีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารสาธารณะดำเนินการแก้ไขอาคารดังกล่าวให้มีระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย โดยมีอำนาจสั่งแก้ไขได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) {{gap|0.5em}} ...
(๒) {{gap|0.5em}} จัดให้มีการติดตั้งแบบแปลนแผนผังของอาคารแต่ละชั้น แสดงตำแหน่งห้องต่าง ๆ ทุกห้อง ตำแหน่งที่ติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิงต่าง ๆ ประตู หรือทางหนีไฟของชั้นนั้น ติดไว้ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจน...
(๓) {{gap|0.5em}} ติดตั้งเครื่องมือดับเพลิงแบบมือถือ...
(๔) {{gap|0.5em}} ติดตั้งระบบสัญญาณเตือนเพลิงไหม้ทุกชั้น...
(๕) {{gap|0.5em}} ติดตั้งระบบไฟส่องสว่างสำรอง เพื่อให้มีแสงสว่างสามารถมองเห็นช่องทางเดินได้ขณะเพลิงไหม้ และมีป้ายบอกชั้นและป้ายบอกทางหนีไฟที่ด้านในและด้านนอกของประตูหนีไฟทุกชั้นด้วยตัวอักษรที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน โดยตัวอักษรต้องมีขนาดไม่เล็กกว่า ๑๐ เซนติเมตร
(๖) {{gap|0.5em}} ...
เห็นว่า แม้กฎกระทรวงดังกล่าวจะไม่กำหนดบังคับให้อาคารสาธารณะจะต้องติดตั้งระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยไว้โดยตรง แต่เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ของการออกกฎกระทรวงดังกล่าว ก็เพื่อที่จะให้อาคารที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.๒๕๒๒ หรืออาคารซึ่งได้ก่อสร้างก่อนวันที่พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.๒๕๒๒ ใช้บังคับ หากอาคารนั้นเป็นอาคารสาธารณะ อาคารนั้นก็จะต้องมีระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย ซึ่งกฎกระทรวงดังกล่าวให้อำนาจเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารสาธารณะดำเนินการแก้ไขอาคาร โดยจัดให้มีการติดตั้งแบบแปลนแผนผัง ติดตั้งเครื่องมือดับเพลิงแบบมือถือ ติดตั้งระบบสัญญาณเตือนเพลิงไหม้ และติดตั้งระบบไฟส่องสว่างสำรอง ซึ่งล้วนแต่เป็นระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน และกฎกระทรวงดังกล่าวพอจะแปลความหมายต่อไปได้ว่า หากอาคารใดที่ได้ก่อสร้างหลังจากที่มีการออกกฎกระทรวงนี้แล้ว และเป็นอาคารสาธารณะ อาคารดังกล่าวก็จะต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยนั้นด้วย แต่สำหรับร้านซานติก้าผับได้ขออนุญาตก่อสร้างอาคารเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๖ ซึ่งเป็นการขออนุญาตหลังจากกฎกระทรวงดังกล่าวประกาศใช้แล้ว เมื่อร้านซานติก้าผับเปิดเป็นสถานบริการ ซึ่งตามกฎกระทรวงถือเป็นอาคารสาธารณะ ดังนั้น ร้านซานติก้าผับจะต้องมีการติดตั้งแบบแปลนแผนผัง ติดตั้งเครื่องมือดับเพลิงแบบมือถือ ติดตั้งระบบสัญญาณเตือนเพลิงไหม้ และติดตั้งระบบไฟส่องสว่างสำรอง ซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน แต่ร้านซานติก้าผับกลับไม่ติดตั้งระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยเช่นว่านั้น ดังนี้ ร้านซานติก้าผับจึงเป็นอาคารสาธารณะที่ไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ ๑ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ในเรื่องนี้เดิมจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดตั้งบริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด และจำเลยที่ ๑ ก็เป็นกรรมการผู้จัดการ โดยถือหุ้นของบริษัทจำนวน ๑๘๐ หุ้น จากจำนวนหุ้นทั้งหมด ๒๔๐ หุ้น ต่อมา บริษัทดังกล่าวได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้จัดการ โดยให้นายสุริยา หรือตั้ม ฤทธิ์ระบือ ซึ่งมิได้ถือหุ้นแม้แต่เพียงหุ้นเดียว เข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการแทนจำเลยที่ ๑ ครั้นต่อมา บริษัทมีการจดทะเบียนเพิ่มทุน จำเลยที่ ๑ ก็ยังคงถือหุ้นของบริษัทจำนวน ๑๒๙ หุ้นจากจำนวนหุ้นทั้งหมด ๔๐๐ หุ้น และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดตั้งบริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท แต่กลับยินยอมให้นายสุริยา ซึ่งมิได้ถือหุ้นแม้แต่เพียงหุ้นเดียว เข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการแทนจำเลยที่ ๑ นั้น ย่อมเป็นการผิดวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจการค้าโดยทั่วไป เพราะตามปกติ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดมักจะเป็นกรรมการผู้จัดการ ประกอบกับในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้จัดให้มีการแถลงข่าวการปิดกิจการของร้านซานติก้าผับ พร้อมกับจัดงานฉลองเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จำเลยที่ ๑ ก็ได้ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อประชาสัมพันธ์ชักชวนให้ลูกค้าเข้าไปใช้บริการในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ แต่กลับได้ความจากนายรุ่งยศ จันทภาษา ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอีกคนหนึ่งและอยู่ในวันแถลงข่าวว่า ในวันแถลงข่าวนายสุริยาก็อยู่ด้วย แต่ไม่ได้ร่วมแถลงข่าว ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะนายสุริยาเป็นถึงกรรมการผู้จัดการ ก็น่าจะต้องเป็นผู้กล่าวเปิดงาน หรือมิฉะนั้น ก็น่าจะต้องร่วมแถลงข่าวในฐานะเป็นกรรมการผู้จัดการด้วย อีกทั้งยังได้ความจากนางสาวเกษราภรณ์ แจ้งนคร ซึ่งเป็นพนักงานเก็บเงินของร้านซานติก้าผับ ว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๐ ที่นางสาวเกษราภรณ์เข้ามาทำงาน จนถึงวันเกิดเหตุ นางสาวเกษราภรณ์ไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้านายสุริยา ซึ่งนับว่าเป็นข้อพิรุธ เพราะหากนายสุริยาเป็นกรรมการผู้จัดการจริงแล้ว นางสาวเกษราภรณ์ซึ่งทำงานนานถึง ๑ ปีเศษก็น่าจะต้องเคยเห็นหน้าบ้าง แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น นอกจากนี้ นายฉัตรพิรุณ โตศะศุข ซึ่งเคยทำงานที่ร้านซานติก้าผับ และเป็นช่วงเวลาที่นายสุริยาเป็นกรรมการผู้จัดการ กลับเบิกความว่า นายสุริยาทำหน้าที่อะไรในร้าน นายฉัตรพิรุณไม่ทราบ ซึ่งก็นับว่าเป็นข้อพิรุธอีกประการหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ตามแผ่นดีวีดี เอกสารหมาย จ. ๔๐ ซึ่งเป็นรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” และรายการดังกล่าวได้นำแผ่นดีวีดีที่ร้านซานติก้าผับได้แจกแก่ลูกค้ามาเปิดในรายการ ปรากฏว่า กล้องจะถ่ายภาพจำเลยที่ ๑ เป็นส่วนใหญ่ โดยไม่มีการถ่ายภาพนายสุริยาเลย และตอนท้ายของแผ่นดีวีดีจะมีตัวหนังสือเป็นตัวหนังสือวิ่งบอกรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อของคณะทำงานต่าง ๆ ของร้านซานติก้าผับว่ามีใครบ้าง และมีตำแหน่งอะไร ซึ่งในเรื่องนี้ปรากฏว่า มีชื่อของจำเลยที่ ๑ โดยระบุว่า มีตำแหน่ง Managing Director ซึ่งหมายความว่า กรรมการผู้จัดการ จากพฤติการณ์และข้อพิรุธดังที่ได้กล่าวข้างต้น ส่อแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ ๑ เชิดนายสุริยาเป็นกรรมการผู้จัดการ โดยมีจำเลยที่ ๑ บงการอยู่เบื้องหลัง ดังนั้น จึงเชื่อว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้บริหารดำเนินกิจการของร้านซานติก้าผับตามความเป็นจริง ส่วนที่จำเลยที่ ๑ นำสืบต่อสู้ว่า หลังจากที่จำเลยที่ ๑ ลาออกจากการเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด แล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารงานในร้านซานติก้าผับนั้น คงมีแต่คำเบิกความของจำเลยที่ ๑ ลอย ๆ ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้บริหารดำเนินกิจการของร้านซานติก้าผับตามความเป็นจริง ดังนี้ การที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้บริหารดำเนินกิจการตามความเป็นจริง จัดให้มีงานรื่นเริงภายในร้านซานติก้าผับ ซึ่งมีลักษณะการใช้งานเป็นอาคารสาธารณะแต่ขาดมาตรฐานความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน โดยที่ภายในร้านไม่มีแผนผังทางหนีไฟ ไม่มีป้ายบอกทางหนีไฟ ไม่มีระบบสัญญาณเตือนเพลิงไหม้ ไม่มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ (sprinkler) ไม่มีการติดตั้งระบบไฟแสงสว่างฉุกเฉินในพื้นที่ใช้บริการ ให้มีจำนวนเพียงพอที่จะสามารถเปิดส่องสว่างแก่ลูกค้าเพื่อการหลบหนีออกจากร้านได้สะดวกและปลอดภัยในกรณีเกิดเพลิงไหม้ อีกทั้งประตูทางเข้าออกสามารถรองรับ จำนวนคนเข้าออกอย่างปลอดภัยได้เพียง ๔๐๘ คน นอกจากนี้ ยังมีการใช้วัสดุตกแต่งร้านที่ติดไฟได้ง่าย เมื่อติดไฟแล้วจะลุกลามอย่างรวดเร็ว และเกิดแก๊สพิษทำให้ผู้ที่สูดดมเข้าไปหายใจไม่ออกและหมดสติ ซึ่งในการใช้ร้านดังกล่าว จำเลยที่ ๑ จะต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ กล่าวคือ จำเลยที่ ๑ จะต้องดำเนินการติดตั้งแบบแปลนแผนผังอาคาร ป้ายบอกทางหนีไฟ และไฟฉุกเฉินภายในร้านให้เพียงพอ จักต้องไม่จัดให้ลูกค้าเข้าไปใช้บริการภายในร้านดังกล่าวเกินกว่า ๔๐๘ คน เพื่อให้เป็นไปตามหลักมาตรฐาน ความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน อีกทั้งจักต้องไม่ตกแต่งภายในร้านด้วยวัสดุที่ติดไฟได้ง่าย และเมื่อติดไฟแล้วเกิดแก๊สพิษเป็นอันตรายแก่ผู้สูดดม ทั้งนี้ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดแก่ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการ ซึ่งจำเลยที่ ๑ อาจใช้ความระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการกระทำโดยประมาท เมื่อปรากฏว่าร้านซานติก้าผับเกิดเหตุเพลิงไหม้ และมีผู้ถึงแก่ความตายจำนวน ๖๗ คน ได้รับอันตรายสาหัสจำนวน ๔๕ คน และได้รับอันตรายแก่กายจำนวน ๗๒ คน จำเลยที่ ๑ จึงมีความผิดฐาน กระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส และเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ แต่การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ สำหรับข้อหาความผิดฐานร่วมกันเป็นผู้ได้รับอนุญาตตั้งสถานบริการยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้มีผู้มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ซึ่งมิได้ทำงานในสถานบริการนั้น เข้าไปในสถานบริการระหว่างเวลาทำงานตามกฎหมาย และข้อหาความผิดฐานร่วมกันยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานบริการนั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่ามีบุคคลที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปีจำนวน ๒ คนเข้าไปใช้บริการในร้านซานติก้าผับแล้วถึงแก่ความตาย รวมทั้งตรวจพบสารเสพติดโคเคนบริเวณโซฟาภายในห้องพักของนักแสดง และพบสารเสพติดโคเคนที่ตู้ ๔ ลิ้นชัก ยี่ห้อ Pilot ภายในห้องฝ่ายสำนักงานก็ตาม แต่ในการพิจารณาคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่นำสืบพยานหลักฐานให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง ศาลจึงจะรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์และพิพากษาลงโทษจำเลยได้ ซึ่งในเรื่องนี้โจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ยินยอมหรือปล่อยปละละเลยอย่างไร จึงทำให้มีผู้มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์เข้าไปในร้านซานติก้าผับ แต่กลับได้ความจากพยานโจทก์เอง โดยเฉพาะนายสุรพงษ์ เตียวสุวรรณ, นายประลองยุทธ ผงงอย, นางสาวประภัสรา จันทนะ, นายนฤพัฒน์ ธรรมคุปต์, นางสาวเบญจรัตน์ อินทยากร และนายพงษ์ศิริ วงษ์เซ็ง ว่า ก่อนเข้าไปในร้านซานติก้าผับนั้น จะมีการตรวจบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อไม่ให้บุคคลที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปีเข้าไป อีกทั้งโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบว่า จำเลยที่ ๑ ได้มีส่วนร่วมหรือยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในร้านซานติก้าผับแต่อย่างใด กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๑ กระทำความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าว
ส่วนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่นั้น เห็นว่า โจทก์นำสืบเพียงว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ เป็นพนักงานลูกจ้างของร้านซานติก้าผับเท่านั้น แต่โจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ได้กระทำประมาทอย่างไร จึงทำให้เกิดเพลิงไหม้ ดังนี้ กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ กระทำความผิดตามฟ้อง
สำหรับจำเลยที่ ๕ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เหตุเพลิงไหม้เกิดจากการจุดเอฟเฟ็กต์ โดยไม่ได้เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๕ ดังนั้น จำเลยที่ ๕ จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง
ส่วนจำเลยที่ ๖ และที่ ๗ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่นั้น โจทก์มี พันตำรวจโท ประวิทย์ กังวล พนักงานสอบสวน เบิกความว่า ในชั้นสอบสวนมี การสอบปากคำจำเลยที่ ๓ ได้ความว่า ตามมติที่ประชุมของบริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๓ ติดต่อกับบริษัทจำเลยที่ ๖ เพื่อติดตั้งแสงสีเสียงบนเวที ประกอบกับโจทก์ยังมีหนังสือรับรองของบริษัทจำเลยที่ ๖ ตามเอกสารหมาย จ. ๕๘ ได้ระบุวัตถุประสงค์ของบริษัทว่า ประกอบกิจการ จัดระบบแสงสีเสียง ภาพประกอบการแสดงรายการโทรทัศน์ วิทยุ ภาพยนตร์ สตูดิโอ เวทีการแสดงต่าง ๆ และโรงมหรสพอื่น ๆ ทั่วไปทุกประเภท นอกจากนี้ จำเลยที่ ๓ ยังนำสืบยืนยันว่า บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้ว่าจ้างบริษัทจำเลยที่ ๖ ให้มาติดตั้งเอฟเฟ็กต์ ดังนี้ เชื่อว่า จำเลยที่ ๗ ได้รับจ้างในนามของบริษัทจำเลยที่ ๖ ส่วนที่จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ นำสืบต่อสู้ว่า การติดตั้งเอฟเฟ็กต์ในคืนเกิดเหตุ จำเลยที่ ๗ ได้รับจ้างจากบริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ในนามส่วนตัวนั้น เห็นว่า คงมีตัวจำเลยที่ ๗ เพียงผู้เดียวมา เบิกความลอย ๆ ประกอบกับจำเลยที่ ๗ ตอบโจทก์ถามค้านว่า พนักงานที่ทำการติดตั้งเอฟเฟ็กต์ในคืนเกิดเหตุได้รับค่าจ้างจากบริษัทจำเลยที่ ๖ นั่นย่อมแสดงว่า การรับจ้างของจำเลยที่ ๗ เป็นการรับจ้างในนามของบริษัทจำเลยที่ ๖ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๖ และที่ ๗ จึงไม่น่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ได้ว่าจ้างจำเลยที่ ๖ ให้มาติดตั้งเอฟเฟ็กต์ เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่จำเลยที่ ๖ ซึ่งได้รับการว่าจ้างจาก บริษัทไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส์ (๒๐๐๓) จำกัด ให้เป็นผู้ดำเนินการจัดการแสดงแสงสีเสียงสำหรับการจัดงานรื่นเริงในร้านซานติก้าผับนั้น จำเลยที่ ๖ จะต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ กล่าวคือ ในการจัดเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการแสดงแสงสีเสียง สำหรับงานรื่นเริงดังกล่าว ซึ่งเป็นที่คาดหมายได้ว่า จะต้องมีลูกค้าจำนวนมากเข้ามาใช้บริการภายในร้าน จำเลยที่ ๖ จะต้องใช้ความระมัดระวังไม่ใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่อาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้ภายในร้านได้โดยง่าย อีกทั้งการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะการติดตั้งเอฟเฟ็กต์ จำเลยที่ ๖ ควรตรวจสอบวัสดุตกแต่งร้านที่อยู่ใกล้กับเอฟเฟ็กต์ว่าติดไฟง่ายหรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดแก่ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการภายในร้าน ซึ่งจำเลยที่ ๖ อาจใช้ความระมัดระวังนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จำเลยที่ ๖ กลับติดตั้งเอฟเฟ็กต์ที่ทำมาจากดอกไม้เพลิง (พลุ) ซึ่งก่อให้เกิดเพลิงไหม้ภายในร้านได้โดยง่าย และไม่ตรวจสอบวัสดุตกแต่งร้านดังกล่าว เมื่อจุดเอฟเฟ็กต์แล้วจะเกิดลูกไฟพุ่งกระจายขึ้นสูงในแนวตั้งจรดเพดาน ซึ่งเพดานทำด้วยวัสดุที่ติดไฟง่าย จึงทำให้เกิดการติดไฟและลุกไหม้อย่างรวดเร็ว การกระทำของจำเลยที่ ๖ ดังกล่าว จึงเป็นการกระทำโดยประมาท เมื่อปรากฏว่า เหตุเพลิงไหม้เกิดจากการจุดเอฟเฟ็กต์ และมีผู้ถึงแก่ความตายจำนวน ๖๗ คน ได้รับอันตรายสาหัสจำนวน ๔๕ คน ได้รับอันตรายแก่กายจำนวน ๗๒ คน และทรัพย์สินของลูกค้าผู้เข้าใช้บริการได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๖ จึงมีความผิดฐานกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท และกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส และเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ แต่การกระทำของจำเลยที่ ๖ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ สำหรับจำเลยที่ ๗ นั้น เห็นว่า จำเลยที่ ๖ เป็นบริษัทจำกัดซึ่งเป็นนิติบุคคล จำเลยที่ ๖ จึงเป็นเพียงบุคคลสมมุติโดยอำนาจของกฎหมาย ดำเนินหรือปฏิบัติงานตามวัตถุประสงค์ของบริษัทด้วยตนเองไม่ได้ ต้องดำเนินหรือปฏิบัติงานโดยผู้แทน จำเลยที่ ๗ เป็นกรรมการผู้จัดการ จึงเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินหรือปฏิบัติงานของบริษัทจำเลยที่ ๖ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บริษัทจำเลยที่ ๖ กระทำผิดก็ได้ชื่อว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ ๗ ด้วย
อนึ่ง สำหรับความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๐ นั้น มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถือได้ว่า มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีลงมา จึงมีอายุความเพียงหนึ่งปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๕ (๕) คดีนี้ จำเลยทั้งเจ็ดถูกฟ้องว่ากระทำความผิดวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒ นับถึงวันฟ้อง กล่าวคือ ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ฟ้องจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ในวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ และฟ้องจำเลยที่ ๖ ถึงที่ ๗ ในวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๓ ดังนั้น คดีของโจทก์สำหรับความผิดตามบทมาตราดังกล่าว จึงเป็นอันขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๖)
สำหรับค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๔/๑ นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๖ และที่ ๗ เป็นผู้กระทำความผิด จำเลยที่ ๑ ที่ ๖ และที่ ๗ จึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย แต่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕, ที่ ๖, ที่ ๗ และที่ ๘ ซึ่งเป็นผู้เสียหาย ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้เป็นจำเลยที่ ๓ ในคดีหมายเลขดำที่ ผบ. ๑๕๑๘/๒๕๕๒, ผบ. ๑๔๓๕/๒๕๕๒ และ ผบ. ๑๔๖๗/๒๕๕๒ ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้แล้วตามลำดับ เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากเหตุเพลิงไหม้ร้านซานติก้าผับซึ่งเป็นเหตุอย่างเดียวกันกับคดีนี้ โดยเรียกค่าปลงศพ ค่าขาดอุปการะ และค่าเสียหายทางด้านจิตใจ ตามสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย จ. ร.๒ และ จ. ร.๔ ซึ่งค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวก็เป็นค่าสินไหมทดแทนเช่นเดียวกันกับที่โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕, ที่ ๖, ที่ ๗ และที่ ๘ ได้ยื่นขอในคดีนี้ เมื่อคดีของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ทั้ง ๓ คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณา ประกอบกับการที่โจทก์ร่วมที่ ๔ และ ที่ ๕, ที่ ๖, ที่ ๗ และที่ ๘ ยื่นคำร้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้น ถือว่า เป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๔/๑ วรรคสอง จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมดังกล่าวยื่นคำฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกันหรือศาลอื่นอีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑) ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ดังนั้น คำร้องของโจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕, ที่ ๖, ที่ ๗ และที่ ๘ จึงเป็นฟ้องซ้อน ศาลจึงไม่รับวินิจฉัยในส่วนของจำเลยที่ ๑
ส่วนค่าสินไหมทดแทนตามที่โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕, ที่ ๖, ที่ ๗ และที่ ๘ เรียกร้องมานั้น ในเรื่องนี้จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ ให้การต่อสู้ว่า บุตรของโจทก์ร่วมที่ ๔ ถึงที่ ๗ สมัครใจเข้าไปใช้บริการในร้านซานติก้าผับ ย่อมทราบถึงสภาพแวดล้อมที่เบียดเสียดและแออัดของผู้คนจำนวนมาก จนกระทั่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ในคดีนี้ นับได้ว่า มีส่วนผิดอยู่ด้วย เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ ๖ และที่ ๗ ให้การต่อสู้เช่นนั้น แต่จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ ไม่นำสืบให้เห็นว่าบุตรของโจทก์ร่วมที่ ๔ ถึงที่ ๗ มีส่วนผิดอย่างไร กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่า บุตรของโจทก์ร่วมที่ ๔ ถึงที่ ๗ มีส่วนผิดด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ค่าสินไหมทดแทนที่เรียกร้องมานั้น เห็นควรพิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้
๑. {{gap|0.5em}} ค่าปลงศพ โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕, ที่ ๖, ที่ ๗ และที่ ๘ เรียกร้องได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๓ วรรคแรก ในเรื่องนี้โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕, ที่ ๖, ที่ ๗ และที่ ๘ เรียกร้องมาเป็นเงินรายละ ๕๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ร่วม ที่ ๔ และที่ ๕, ที่ ๖, ที่ ๗ และที่ ๘ ไม่มีหลักฐานมาแสดง จึงเห็นสมควรกำหนดให้เป็นเงินรายละ ๔๐,๐๐๐ บาท
๒. {{gap|0.5em}} ค่าขาดอุปการะ โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕, ที่ ๖ นำสืบขอค่าขาดอุปการะเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาทหรือปีละ ๒๔๐,๐๐๐ บาท เป็นระยะเวลา ๒๙ ปี รวมเป็นจำนวน ๖,๙๖๐,๐๐๐ บาท ส่วนโจทก์ร่วมที่ ๗ และที่ ๘ นำสืบขอค่าขาดอุปการะรายละ ๕,๐๐๐ บาทต่อเดือนหรือรายละ ๖๐,๐๐๐ บาทต่อปี เป็นระยะเวลา ๓๔ ปี รวมเป็นจำนวน ๔,๐๘๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ที่ ๘ ขอค่าขาดไร้อุปการะในด้านการศึกษาอีก จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาทนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๓ วรรคสาม บัญญัติว่า “ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้น ทำให้บุคคลคนหนึ่งคนใดต้องขาด ไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่า บุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๓ บัญญัติว่า “บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา” และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๔ บัญญัติว่า “บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์” เมื่อกฎหมายมีดังนี้ จึงถือได้ว่า การที่ผู้ตายถึงแก่ ความตาย ทำให้โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕ ซึ่งเป็นบิดาและมารดา โจทก์ร่วมที่ ๖ ซึ่งเป็นมารดาโจทก์ร่วมที่ ๗ ซึ่งเป็นมารดา และโจทก์ร่วมที่ ๘ ซึ่งเป็นบุตร ต้องขาดไร้อุปการะจากผู้ตาย โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕, ที่ ๖, ที่ ๗ และที่ ๘ ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนในการที่โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕, ที่ ๖, ที่ ๗ และที่ ๘ ต้องขาดไร้อุปการะ รวมทั้งค่าขาดไร้อุปการะในด้านการศึกษาตามกฎหมายได้ ส่วนที่โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕, ที่ ๖, ที่ ๗ และที่ ๘ เรียกร้องค่าขาดอุปการะมานั้น โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕, ที่ ๖, ที่ ๗ และที่ ๘ ไม่มีหลักฐานมาแสดง อีกทั้งค่าขาดอุปการะดังกล่าวยังเป็นค่าเสียหายในอนาคตไม่แน่นอน เมื่อพิเคราะห์ถึงอายุของผู้ตาย อายุของผู้ที่ได้รับการอุปการะ และพฤติการณ์แห่งกรณีแล้ว เห็นสมควรกำหนดให้โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕ เป็นเงิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ร่วมที่ ๖ เป็นเงิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ร่วมที่ ๗ และที่ ๘ เป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท
๓. {{gap|0.5em}} ค่าเสียหายทางด้านจิตใจ เห็นว่า ค่าเสียหายทางด้านจิตใจเป็นเพียงอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อทราบข่าวร้ายว่าผู้ตายถึงแก่ความตาย แต่ไม่ใช่ความเสียหายตามกฎหมาย ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้สิทธิโจทก์เรียกค่าเสียหายในเรื่องนี้ได้ จึงไม่กำหนดให้
สรุปแล้ว รวมเป็นค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ จะต้องชดใช้ให้แก่โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕ เป็นค่าปลงศพ และค่าขาดอุปการะ รวมเป็นเงิน ๑,๕๔๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ร่วมที่ ๖ เป็นค่าปลงศพ และค่าขาดอุปการะ รวมเป็นเงิน ๑,๕๔๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ร่วมที่ ๗ และที่ ๘ เป็นค่าปลงศพ และค่าขาดอุปการะรวมทั้งค่าขาดอุปการะในด้านการศึกษา รวมเป็นเงิน ๒,๐๔๐,๐๐๐ บาท
พิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐ จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒๕, ๒๙๑, ๓๐๐ การกระทำของจำเลยที่ ๑, ที่ ๖ และที่ ๗ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ และที่ ๗ คนละ ๓ ปี ให้ปรับจำเลยที่ ๖ จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท แม้จำเลยที่ ๑ ได้ให้เงินช่วยเหลือแก่ทายาทผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว รวมเป็นเงิน ๓,๓๙๔,๘๐๐ บาทก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้บริหารดำเนินกิจการเกี่ยวกับสถานบริการที่มีลักษณะการใช้งานเป็นอาคารสาธารณะ ย่อมต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานบริการจะต้องมีระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย เพื่อให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานความปลอดภัยขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย ซึ่งจำเลยที่ ๑ จะต้องปฏิบัติ แต่กลับไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมาย จนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้ประกอบการรายอื่น อันเป็นการปกป้องสังคมและประชาชนผู้ใช้บริการให้พ้นจากภยันตรายที่ไปใช้บริการตามสถานบริการ จึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๗ ไม่มีเหตุบรรเทาโทษ จึงไม่รอการลงโทษเช่นกัน หากจำเลยที่ ๖ ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ และคำร้องค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๔/๑ ในส่วนของจำเลยที่ ๑ ให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ด้วย กับให้จำเลยที่ ๖ และที่ ๗ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมที่ ๔ และที่ ๕ เป็นเงิน ๑,๕๔๐,๐๐๐ บาท, ให้แก่โจทก์ร่วมที่ ๖ เป็นเงิน ๑,๕๔๐,๐๐๐ บาท, ให้แก่โจทก์ร่วมที่ ๗ และที่ ๘ เป็นเงิน ๒,๐๔๐,๐๐๐ บาท
:: {{font-size|120%|ทานนท์ สันติพิทักษ์}}
:: {{font-size|120%|สันธนา เอื้ออารักษ์}}
== เชิงอรรถ ==
{{reflist}}
----
{{ท้ายเรื่อง}}
----
{{สทย|4}}
[[หมวดหมู่:ศาลยุติธรรม]]
h5q38pzvq187qrg5yggc5bg0lpy69dz
บัตรประทานพระนาม พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี
0
19223
188013
48786
2022-07-23T23:23:19Z
Miwako Sato
4619
แจ้งลบด้วย[[WS:iScript|สจห.]]: ท6 - ตามแหล่งที่มาที่ปรากฏในหน้านี้เอง (ปี 2555) และไม่ปรากฏว่าไม่มีลิขสิทธิ์หรือลิขสิทธิ์หมดด้วยประการใด ๆ
wikitext
text/x-wiki
{{ลบ|ท6 - ตามแหล่งที่มาที่ปรากฏในหน้านี้เอง (ปี 2555) และไม่ปรากฏว่าไม่มีลิขสิทธิ์หรือลิขสิทธิ์หมดด้วยประการใด ๆ}}
<center>
(ตรา ญสส.)<ref>ตราประจำพระองค์</ref>
'''พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี'''
:ขอถวายนามพระพุทธรูปโบราณเนื้อสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย
:ในมหาศุภวาระมงคลดิถีสัมพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี
:ประดิษฐานอยู่ ณ วัดคุ้งตะเภา ต.คุ้งตะเภา
:อ.เมืองอุตรดิตถ์ จ.อุตรดิตถ์ ว่า
:"พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี"
:ขอสวัสดีมงคลจงเกิดมีแก่พุทธศาสนิกชน
:ผู้สักการะเคารพนับถือบูชาพระพุทธรูปที่ถวายแล้วนี้
:ตลอดจิรัฏฐิติกาลเทอญฯ
:(ลงพระนาม) ''สด.พระญาณสังวร''
:(สมเด็จพระญาณสังวร)
:สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕
</center>
== หมายเหตุ==
<references />
== อ้างอิง ==
* สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช. (๒๕๕๕). '''บัตรประทานนามพระพุทธรูป พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี'''. ลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
* หนังสือสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ที่ พ ๐๔๓๗/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เรื่อง '''ประทานนามพระพุทธรูป'''
{{วิกิพีเดีย|:พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี}}
csgppv9vr38owtgor61wtf2zcp9k7nw
คาถาอัญเชิญเลี้ยงเจ้าพ่อพระยาปาด (พิธีเลี้ยงบ้าน)
0
26217
188012
170309
2022-07-23T23:20:53Z
Miwako Sato
4619
แจ้งลบด้วย[[WS:iScript|สจห.]]: ท6 - ตามแหล่งที่มาที่ปรากฏในหน้านี้เอง
wikitext
text/x-wiki
{{ลบ|ท6 - ตามแหล่งที่มาที่ปรากฏในหน้านี้เอง}}
{{no source}}
{{no header}}
{{วิกิพีเดีย|หมู่บ้านฝาย (จ.อุตรดิตถ์)|คาถาอัญเชิญเลี้ยงเจ้าพ่อพระยาปาด (พิธีเลี้ยงบ้าน)}}
'''ที่มา''' พระครูโพธิชัยวงศ์ และพระมหาเทวประภาส วชิรญาณเมธี. (๒๕๕๙). '''โครงการบันทึกข้อมูลท้องถิ่นเพื่อการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย จังหวัดอุตรดิตถ์'''. อุตรดิตถ์ : หน่วยวิทยบริการวัดหมอนไม้ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
'''ต้นที่มา''' นายประหยัด อินทรวรรณ บ้านฝาย หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านฝาย อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
* คำขึ้นต้น ''สาธุ ๆ เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าที่ดิน (พระธรณี) เจ้ากงไกรสีห์ เจ้าขุนพลเตโช กกเค้าเหง้างูน ของท่านเจ้าพ่อพระยาปาด เจ้ามหาเสนา เจ้าพระฝาง ขุนวงษ์ ตันยอด ขุนไวปานปืน ขุนมั่นปานตอขุนเบาปานงิ้ว (นุ่น) หลวงสิงห์ทอง หลวงศรี หลวงนาคันทุง หมื่นขวาใน หมื่นคำผาย หมื่นคลัง ท้าวปิ่นปันนา อ้ายตาลึก อ้ายลมล่องโคก อ้ายกอไผ่ร้อยกอ อ้ายแขนยาว อ้ายโกยเก้าโค้ง อ้ายหัวเขียง อ้ายอกโทน เจ้าหญ้าช้าง เจ้าหญ้าม้า เจ้าประตูฮูไร สู้ตน สู้องค์ ก้ำเหนือ ตั้งแต่ไม้ล่มแบ่งแดนแนว ผาด่าง ผาดาว ทุ่งแฮ้ง ทุ่งกา ม่วงเจ็ดต้น อ้นเจ็ดขุ่ย ลงมา ฟากท่า สองคอน บ้านม่วง ก้ำใต้ ตั้งแต่ ด่านซ้าย ด่านชำเตย น้ำมืด น้ำหมี แก่งตอง แก่งตาล ผาเต่า ผาเลือด ปากฉลอง หนองบัว ขึ้นมาหาปากปาด''
* พอข้าวจ้ำกล่าวจบ ก็ยิงปืนขึ้น 1 นัด แล้วตีฆ้อง 4-5 ครั้ง เป็นการต้อนรับ ให้ผู้เฒ่าผู้แก่บอกกล่าวว่าให้กินตรู่ กินสู้กันเสีย ให้แก่กินก่อน อ่อนกินที่หลัง แล้วก็ฟ้าขอฝนขอข้าวกล้าในนา อุดมสมบูรณ์ ให้ปกป้องคุ้มครองรักษาผู้คนในหมู่บ้าน อยู่ดีกินดีมีความสุข คำไหนดีก็ว่าไป รอเวลาประมาณ 30 นาที ก็บอกเลิก บอกลา มาทางไหน ให้ไปทางนั้น อยู่ที่ครองท่า อยู่ข้างหน้าครองกิน จากนั้นข้าวจ้ำก็จะเอาน้ำเต้าเทลงสู่พื้นดิน เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีบูชาถวาย ชาวบ้านก็จะยกลงมาช่วยกันทำกินกัน แล้วแต่ใครจะถนัดทำอะไรกิน แต่ต้องกินตรงนั้นให้หมด เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีเลี้ยงท่านเจ้าพ่อพระยาปาด (ปู่ตา)
iwuheexmiutxopmqacdovi0wx7skz5k
คาถาอัญเชิญสังเวยกกโพธิ์เก้าง่า
0
26218
188011
170308
2022-07-23T23:20:46Z
Miwako Sato
4619
แจ้งลบด้วย[[WS:iScript|สจห.]]: ท6 - ตามแหล่งที่มาที่ปรากฏในหน้านี้เอง
wikitext
text/x-wiki
{{ลบ|ท6 - ตามแหล่งที่มาที่ปรากฏในหน้านี้เอง}}
{{no source}}
{{no header}}
{{วิกิพีเดีย|หมู่บ้านฝาย (จ.อุตรดิตถ์)|คาถาอัญเชิญสังเวยกกโพธิ์เก้าง่า}}
'''ที่มา''' พระครูโพธิชัยวงศ์ และพระมหาเทวประภาส วชิรญาณเมธี. (๒๕๕๙). '''โครงการบันทึกข้อมูลท้องถิ่นเพื่อการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย จังหวัดอุตรดิตถ์'''. อุตรดิตถ์ : หน่วยวิทยบริการวัดหมอนไม้ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
'''ต้นที่มา''' นายประหยัด อินทรวรรณ บ้านฝาย หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านฝาย อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
* นะโมนมัสการ เม แห่งข้าจะไหว้ พระปรเมศวร ผู้เป็นเจ้า เสด็จลงมาทั้งฟ้าแลดิน ตั้งสมุทรสายสินธ์อันอุดม
* ข้าจะไหว้พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ พระฤาษีนารอด ยอดปิฏกกัณฑ์ไตร พระวิสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ พระไครสรณคมน์ ทั้งพระพ่อหมอเอก พระพุทธ คินาย พระนารายณ์ ยักษ์กุมพันเจ้าที่แห่งนี้ พระชัยมงคล เทพวรารักษ์ ผู้พิทักษ์ภูมิสถาน
* ข้าพเจ้าชาวบ้านฝาย จะกระทำพิธีกรรมบูชาคติ ตามประเพณี จารีตโบราณ ขอเดชานุภาพอภินิหาร สรรพอำนาจธรรมสุจริต มหิทธิเทพทุกองค์ ทั้งมาลา ธูป เทียน เมี่ยง หมาก อาหาร ข้าว น้ำ เหล้า ยา แต่ละอย่างล้วนโอชา ผลพฤกษา นานาชาติบริสุทธิ์ สะอาดใด บ่ ปาน ขอเฃิญเทเวศร์ อย่าละเลย เชิญรับเครื่องสังเวย เวลานี้ได้ฤกษ์งามยามดีปลอดโปร่งดีแล้ว
h9ormq9w324rryxbr1ny0avioq64ogs
คาถาวันลอยกระทง (ฉบับบ้านฝาย จ.อุตรดิตถ์)
0
26219
188010
170299
2022-07-23T23:20:35Z
Miwako Sato
4619
แจ้งลบด้วย[[WS:iScript|สจห.]]: ท6 - ตามแหล่งที่มาที่ปรากฏในหน้านี้เอง
wikitext
text/x-wiki
{{ลบ|ท6 - ตามแหล่งที่มาที่ปรากฏในหน้านี้เอง}}
{{no source}}
{{no header}}
{{วิกิพีเดีย|หมู่บ้านฝาย (จ.อุตรดิตถ์)|คาถาวันลอยกระทง (ฉบับบ้านฝาย จ.อุตรดิตถ์)}}
'''ที่มา''' พระครูโพธิชัยวงศ์ และพระมหาเทวประภาส วชิรญาณเมธี. (๒๕๕๙). '''โครงการบันทึกข้อมูลท้องถิ่นเพื่อการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย จังหวัดอุตรดิตถ์'''. อุตรดิตถ์ : หน่วยวิทยบริการวัดหมอนไม้ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
'''ต้นที่มา''' นายประหยัด อินทรวรรณ บ้านฝาย หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านฝาย อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
* เป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 การลอยกระทงเชื่อกันว่าเป็นการขอขมาพระแม่คงคา คำบูชาพระแม่คงคาด้วยกระทงที่จะลอยให้ตั้งนะโม 3 จบ กล่าวคำว่า
* อิมินา ปะทีเปนะ มุนิโน โยนะกะปุเร นัมมะทายะ นะทิยาจะติเร ฐิตังปุเชมะ อะยัง อิมินา ปะทีเปนะ ปาทจะ สัญหัสสะ ปุชาสังวัตตะตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิยะ สุขายะ
* ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอบูชาลอยพระพุทธบาท ซึ่งตั้งอยู่ริมหาดทรายฝั่งแม่น้ำยมนานที เมืองโยนก ด้วยดวงประทีปนี้ การบูชาลอยพระพุทธบาท ด้วยดวงประทีปนี้ การบูชาลอยพระพุทธบาท จงเป็นไป
เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายจนสิ้นกาลนานเทอญ
* คำขอขมาพระแม่คงคา ต่อจากกล่าวคำบูชาแล้ว แม่เอ๋ยพระคงคา ลูกขมาโปรดให้อภัยด้วย ลูกเคยผิดพลั้ง ต่างๆนาๆ ที่แล้วๆมาต่างๆ ลูกมิได้ตั้งใจทิ้งสิ่งปฏิกูล ของเน่าของเหม็น ลูกเคยทิ้งใส่ น้ำที่เคยใส ต้องขุ่นต้องมัว ลูกได้อาศัย ซักเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา หุงข้าวต้มปลา สระผมสระหัว เมื่อมีเหงื่อไคล เปื้อนตามเนื้อตามตัว ซึมเซาเมามัว อาบน้ำทันที ขึ้นเหนือล่องใต้ ไปโน้นไปนี่ คงคานทีเป็นทางสัญจร คนเราขาดน้ำ จะเป็นอย่างไร อย่าได้สงสัย นับวันม้วยมรณา บุญคุณคงคา นั้นมากมายนัก เห็นแจ้งประจักษ์ มีอุทาหรณ์ ฉะนั้นวันนี้ ลูกกลับไปนอน แม่โปรดให้พร ลูกขอขมาแม่เอย
-----
{{ลิขสิทธิ์หมดอายุ-ไทย}}
gpf3l407xefc5kaynxlkcpsnpp25miy
บทเพลงแห่นาคพื้นบ้านคุ้งตะเภา
0
33132
188009
87782
2022-07-23T23:19:43Z
Miwako Sato
4619
แจ้งลบด้วย[[WS:iScript|สจห.]]: ท6 - ตามแหล่งที่มาที่ปรากฏในหน้านี้เอง
wikitext
text/x-wiki
{{ลบ|ท6 - ตามแหล่งที่มาที่ปรากฏในหน้านี้เอง}}
{{วิกิพีเดีย|หมู่บ้านคุ้งตะเภา|บทเพลงแห่นาคพื้นบ้านคุ้งตะเภา}}
'''ที่มา''' ''เทวประภาส มากคล้าย. (2560). '''สารพันบันทึกเล่า พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดคุ้งตะเภา : ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ และภูมิปัญญาท้องถิ่น'''. กรุงเทพฯ : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม.
''
'''ต้นที่มา''' แม่สำราญ วันดี อายุ 76 ปี (พ.ศ. 2560)
* (ขึ้น) พ่อนาคฉันเอย (รับ) อะละวะฮ่าไฮ้
* "ย่างตีนเข้าโบสถ์แล้วมาบวชโปรดมารดา<br>โปรดกระทั่งสีกา แฟนเอย"
* "น้องมีปีกดั่งหงส์จะอุ้มเอาองค์นาคบิน <br>
ไม่ให้พ่อนาคเดินดิน หรอกเอย"
* "ไอ้ที่เขาซักผ้าเยี่ยวไอ้ที่เขาเคี้ยวข้าวป้อน <br>
แทนคุณก็เสียก่อน เถิดเอย"
* "อย่าไปพะว้าพะวงไอด้วยสีกงสีกา <br>
เขาไม่ได้เลี้ยงพ่อนาคมา หรอกเอย"
* "อาจารย์ท่านสอนก็อย่าไปค้อนตาคว่ำ <br>
ให้หมั่นเรียนก็หมั่นจำ เถิดเอย"
* "ตั้งจิตให้ได้แล้วมาตั้งใจให้ตรง <br>
สักประเดี๋ยวก็เป็นองค์ แล้วเอย"
* "นุ่งผ้าเหลืองก็อย่าให้เปลืองผ้าพื้น<br>
โยมเห็นจะได้ชื่น ใจเอย"
* "อย่าไปเตะตะกร้อก็อย่าไปล้อสีกา <br>
เขาจะจับปาราชิกเอย"
* "สีการ้องเว้ยพ่อนาคอย่าเผยหน้าต่าง<br>
เชื่อคำสอนคำสั่ง เถิดเอย"
* "ไอ้พวกนี้มันหน้าด้านเหมือนกระดานอยู่ไฟ <br>
มันบวชกันซะเมื่อไร เล่าเอย"
* "ทางเดินก็ยากก็มีแต่ขวากหนามไผ่<br>
ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ ไป เถิดเอย"
* "เดินตามต้อยๆ เขาไปปล่อยเสียที่วัด <br>
มันน่าโสมนัส ใจเอย"
* "กระจกบานน้อยที่ห้อยข้างฝา <br>
เย็นฉะนี้ก็จะลา แล้วเอย"
* "บ้านเหนือเคยไปหรือว่าบ้านใต้เคยมา <br>
เย็นฉะนี้ก็จะลา แล้วเอย"
* "อยู่ไปนานๆจะได้เป็นสมภารวัดนี้<br>
จะได้แบกคัมภีร์ ทองเอย"
* "ตั้งจิตให้แน่ไปยังแม่สีกา <br>
บวชเอาก็พรรษา เถิดเอย"
* "ตัดต้นตาลแล้วเป็นสะพานข้ามบึง<br>
บุญน้อยก็ไม่ถึง แล้วเอย"
บทเพลงแห่นาคพื้นบ้านโบราณ ของบ้านคุ้งตะเภา สัมภาษณ์และบันทึก ณ วัดคุ้งตะเภา โดยคณะแม่เพลงแห่นาคบ้านคุ้งตะเภา หมู่ ๓-๔ จากการสัมภาษณ์แม่เพลงที่มีอายุมากที่สุด อายุ ๘๐ ปี เล่าว่าบทเพลงทั้ง ๑๗ นี้ใช้ร้องมาอย่างน้อย ๓ ชั่วรุ่นแล้ว บทเพลงดังกล่าวจึงสันนิษฐานว่าใช้ร้องกันมา มากกว่า ๑๐๐ ปี ขึ้นไป โดยสมัยก่อนจะร้องตามหลังนาค โดยขบวนแห่นาคจากบ้านไปวัดที่มีโบสถ์มีระยะทางไกลก็จะร้องเพลงได้หลากหลายและสนุกสนาน ตอบโต้แซวกันระหว่างพ่อเพลงแม่เพลงได้มากกว่าระยะทางสั้น และการร้องเพลงแห่นาคนั้นจะแยกกับขบวนกลองยาวหรือมังคละประโคม ที่ส่วนใหญ่แต่โบราณนั้นขบวนแห่นาคจะมี ๓ ตอน คือขบวนดนตรีกลองยาวมังคละแห่นำ ตามด้วยขบวนนาค และแม่เพลงร้องเพลงแห่นาคตามหลังนาคเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อสร้างความครึกครื้นและบรรยากาศสนุกสนาน รวมถึงมีเนื้อหาเป็นการสั่งเสียให้นาคตั้งใจบวชโดยไม่ต้องอาลัยกับครอบครัว<ref>'''คืนชีวิต "หาดน้ำน่าน" ผลงานชุมชน-อ.บ.ต.คุ้งตะเภา'''.เว็บไซต์กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
lg7rmi8cpynzsxa6qwu1ee6pzk2vqn8
หน้า:รายงานการประชุม สผ (๒๔๗๕-๐๖-๒๘).pdf/3
250
53024
188019
188003
2022-07-24T11:20:21Z
Venise12mai1834
8884
proofread-page
text/x-wiki
<noinclude><pagequality level="3" user="Miwako Sato" /></noinclude>{{ก|รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร|บ=font-size:140%}}
{{ก|ครั้งที่ ๑/๒๔๗๕}}
{{ก|วันอังคารที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕}}
{{ก|ณพระที่นั่งอนันตสมาคม}}
{{ก|เริ่มประชุมเวลา ๑๔ นาฬิกา}}
{{สต|7em}}
ก่อนเสนาบดีกระทรวง{{ตตฉ|มุระธาธร}}เชิญกระแสพระบรมราชโองการมาอ่านเปิดการประชุม กรรมการคณะราษฎรอ่านรายนามบุคคลซึ่งคณะผู้รักษาพระนครได้ตั้งให้เป็นผู้แทนราษฎร
หลวงประดิษฐมนูธรรมได้อ่านรายนามคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารได้ตั้งให้เป็นผู้แทนราษฎร คือ
{{กม|ข3|๑}}ม.อ.อ. เจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์
{{กม|ข3|๒}}ม.อ.อ. เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
{{กม|ข3|๓}}ม.อ.อ. เจ้าพระยาพิชัยญาติ
{{กม|ข3|๔}}ม.อ.ท. พระยาเทพวิทุรพหุลศรุตาบดี
{{กม|ข3|๕}}ม.อ.ท. พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
{{กม|ข3|๖}}ม.อ.ต. พระยามานวราชเสวี
{{กม|ข3|๗}}ม.อ.ต. พระยาศรีวิสารวาจา
{{มปก}}<noinclude></noinclude>
d4tv3jp8y3g9qsp01slcyfwnrqk2h4f
หน้า:รายงานการประชุม สผ (๒๔๗๕-๐๖-๒๘).pdf/14
250
53028
188005
166549
2022-07-23T15:12:40Z
Venise12mai1834
8884
proofread-page
text/x-wiki
<noinclude><pagequality level="3" user="Miwako Sato" />{{ก|๑๒}}</noinclude>สอบถามพระยามโนปกรณ์นิติธาดาว่า จะเลือกผู้ใดเป็นกรรมการบ้าง ให้เลือกเสนอณบัดนี้ พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเลือกบุคคลต่อไปนี้
{{กม|ข3|๑}}นายพลเรือตรี พระยาปรีชาชลยุทธ
{{กม|ข3|๒}}มหาอำมาตย์ตรี พระยาศรีวิสารวาจา
{{กม|ข3|๓}}นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา
{{กม|ข3|๔}}นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช
{{กม|ข3|๕}}นายพันเอก พระยาฤทธิอัคเณย์
{{กม|ข3|๖}}อำมาตย์เอก พระยาประมวญวิชาพูล
{{กม|ข3|๗}}นายพันโท พระประศาสน์พิทยายุทธ์
{{กม|ข3|๘}}นายพันตรี หลวงพิบูลสงคราม
{{กม|ข3|๙}}นายนาวาตรี หลวงสินธุสงครามชัย
{{กม|ข3|๑๐}}อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
{{กม|ข3|๑๑}}รองอำมาตย์เอก หลวงเดชสหกรณ์
{{กม|ข3|๑๒}}รองอำมาตย์เอก ตั้ว ลพานุกรม
{{กม|ข3|๑๓}}รองอำมาตย์เอก ประยูร ภมรมนตรี
{{กม|ข3|๑๔}}นายแนบ พหลโยธิน
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีสอบถามสมาชิกผู้แทนราษฎร แล้วให้สมาชิกลงมติคะแนนเลือก มีสมาชิกลงคะแนนเลือกกรรมการชุดนี้ มี {{อมอ}}๐ คะแนน เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีชี้ขาดว่า จำนวนนี้สูงเกิน<noinclude></noinclude>
e9z6vu4vsiwpgbivr0l6175jbvq1e8x
หน้า:รายงานการประชุม สผ (๒๔๗๕-๐๖-๒๘).pdf/13
250
53040
188020
166588
2022-07-24T11:20:44Z
Venise12mai1834
8884
proofread-page
text/x-wiki
<noinclude><pagequality level="3" user="Miwako Sato" />{{ก|๑๑}}</noinclude>หารือกันเลือกตั้งประธานคณะกรรมการราษฎรกันณบัดนี้ พระยาพหลพลพยุหเสนาเสนอพระยามโนปกรณ์นิติธาดาว่า เป็นผู้มีองค์คุณควรแก่ตำแหน่งนี้ด้วยประการทั้งปวง พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์รับรอง พระยามโนปกรณ์นิติธาดาแถลงว่า รู้สึกเป็นเกียรติยศอย่างใหญ่ยิ่ง แต่ก็รู้สึกหนักใจเป็นอันมากหากว่าจะรับตำแหน่งนี้ เพราะมิใช่ทำเล่น เป็นงานใหญ่โตที่จะต้องรับผิดชอบในความมั่งมียากจนของคนไทยตั้ง ๑๒ ล้าน การจะพอรับไหวหรือไม่นั้น จะขอปรึกษาและสอบถามพระยาพหลพลพยุหเสนากับหลวงประดิษฐ์มนูธรรมดูสัก ๕ นาฑีก่อน จึ่งจะตอบให้ทราบได้ ผู้แทนราษฎรทั้งหลายให้ท่านทั้งสามได้มีโอกาสสอบถามและปรึกษากัน เสร็จแล้ว พระยามโนปกรณ์นิติธาดาตกลงรับ ที่ประชุมลงมติเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นประธานคณะกรรมการราษฎร พระยามโนปกรณ์นิติธาดากล่าวรับตำแหน่งว่า {{ปตปต|"}}ข้าพเจ้ามีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติยศ แต่ก็รู้สึกหนักอกเป็นอันมาก ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยคิดว่า จะได้รับตำแหน่งเช่นนี้ แต่มาคิดเห็นประโยชน์ของคน ๑๒ ล้าน ข้าพเจ้าก็ควรทำ และจะทำอย่างดีที่สุด"
{{กม|ข3|๖}}{{สนต|กรรมการคณะราษฎร}} เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีกล่าวว่า บัดนี้ ถึงระเบียบวาระต่อไปที่สภาจะต้องตั้งคณะกรรมราษฎรอีก ๑๔ นาย โดยประธานคณะกรรมการราษฎรเป็นผู้เลือกเสนอ แล้ว<noinclude></noinclude>
pw1hji0fas4j1e9fzlji5ileeft6kp1
ผู้ใช้:Thastp/ทดลองเขียน
2
53949
188018
187908
2022-07-24T06:23:21Z
Thastp
9008
wikitext
text/x-wiki
[[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร]]
== VI. มูลค่าและแรงงาน ==
[[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 7|VI. มูลค่าและแรงงาน]]
หัวเรื่องงานแปล
<!-- ข้อมูลหลัก -->
| ชื่อ = ค่าจ้าง ราคา และกำไร
| ศักราช = ค.ศ.
| ปี = 1865
| ภาษา = en
| ต้นฉบับ = Wages, Price and Profit
| ผู้สร้างสรรค์ = คาร์ล มาคส์
| บรรณาธิการ = เอเลนอร์ มาคส์ เอฟลิง
| ส่วน = VI. มูลค่าและแรงงาน
| ผู้มีส่วนร่วม =
| ก่อนหน้า = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 6|V. ค่าจ้างและราคา]]
| ถัดไป = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 8|VII. พลังที่ใช้แรงงาน]]
| หมายเหตุ =
<!-- ข้อมูลย่อย (สำหรับจัดระเบียบหรือเชื่อมโยงไปหน้าอื่น) -->
| หมวดหมู่ =
| แก้กำกวม =
| รุ่น =
| สถานีย่อย =
| ผู้สร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้อง =
| วิกิพีเดีย =
| คอมมอนส์ =
| หมวดหมู่คอมมอนส์ =
| วิกิคำคม =
| วิกิข่าว =
| วิกิพจนานุกรม =
| วิกิตำรา =
| วิกิห้องสมุด =
| วิกิสนเทศ =
| วิกิท่องเที่ยว =
| วิกิวิทยาลัย =
| วิกิสปีชีส์ =
| เมทา =
{{ตรคป|Citizens, I have now arrived at a point where I must enter upon the real development of the question. I cannot promise to do this in a very satisfactory way, because to do so I should be obliged to go over the whole field of political economy. I can, as the French would say, but eflleurer la question, touch upon the main points. |พลเมือง ผมได้มาถึงจุดที่ผมจำต้องเข้าสู่คำถามที่เกิดขึ้นจริง ผมไม่สามารถสัญญาได้ว่าจะทำได้ในแบบที่น่าพึงพอใจมากนัก เพราะในการที่จะทำนั้นผมถูกบังคับให้ต้องพูดถึงสาขาวิชาของเศรษฐศาสตร์การเมืองทั้งหมด แต่ผมจะสามารถ ''เอเฟลอเร ลา แก็สตียง'' หรือแตะที่จุดหลัก ๆ อย่างที่ชาวฝรั่งเศสเขาพูดกัน}}
{{ตรคป|The first question we have to put is: What is the value of a commodity? How is it determined? |คำถามข้อแรกที่เราต้องตั้งคือ: มูลค่าของโภคภัณฑ์ตืออะไร มันถูกกำหนดอย่างไร}}
{{ตรคป|At first sight it would seem that the value of a commodity is a thing quite relative, and not to be settled without considering one commodity in its relations to all other commodities. In fact, in speaking of the value, the value in exchange of a commodity, we mean the proportional quantities in which it exchanges with all other commodities. But then arises the question: How are the proportions in which commodities exchange with each other regulated? |เมื่อมองผ่านครั้งแรก ก็เหมือนกับว่ามูลค่าของสินค้าโภคภัณฑ์นั้นเป็นสิ่งสัมพัทธ์พอสมควร และไม่ถูกกำหนดโดยไม่พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างโภคภัณฑ์อย่างหนึ่งกับโภคภัณฑ์อย่างอื่นทั้งหมด แท้จริงแล้วเมื่อพูดถึงมูลค่า มูลค่าในการแลกเปลี่ยนสินค้าโภคภัณฑ์ เราหมายถึงปริมาณตามอัตราส่วนที่มันถูกแลกเปลี่ยนกับโภคภัณฑ์อื่น ๆ ทั้งหมด แต่ก็เกิดคำถามขึ้นว่า: อัตราส่วนเหล่านั้นที่สินค้าโภคภัณฑ์ถูกแลกเปลี่ยนกันด้วยนั้นถูกควบคุมอย่างไร}}
{{ตรคป|We know from experience that these proportions vary infinitely. Taking one single commodity, wheat, for instance, we shall find that a quarter of wheat exchanges in almost countless variations of proportion with different commodities. Yet, its value remaining always the same, whether expressed in silk, gold, or any other commodity, it must be something distinct from, and independent of, these different rates of exchange with different articles. It must be possible to express, in a very different form, these various equations with various commodities. |เรารู้จากประสบการณ์ว่าอัตราส่วนเหล่านี้แปรผันอย่างไม่รู้จบ ยกตัวอย่างโภคภัณฑ์อย่างหนึ่ง เช่นข้าวสาลี เราจะพบว่าข้าวสาลีหนึ่งควอเตอร์นั้นถูกแลกเปลี่ยนกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ในอัตราส่วนที่นับไม่ถ้วน ทว่ามูลค่าของมันคงอยู่อย่างเดิมเสมอ ไม่ว่าจะถูกแสดงออกในรูปของไหม ทองคำ หรือโภคภัณฑ์อื่นใด มันจะต้องเป็นสิ่งอื่นซึ่งแยกออกจาก และเป็นอิสระจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกันกับสิ่งของอื่น ๆ เหล่านี้ มันจะต้องสามารถแสดงออกซึ่งสมการที่หลากหลายกับโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ในรูปแบบที่ต่างออกไป}}
{{ตรคป|Besides, if I say a quarter of wheat exchanges with iron in a certain proportion, or the value of a quarter of wheat is expressed in a certain amount of iron, I say that the value of wheat and its equivalent in iron are equal to some third thing, which is neither wheat nor iron, because I suppose them to express the same magnitude in two different shapes. Either of them, the wheat or the iron, must, therefore, independently of the other, be reducible to this third thing which is their common measure. |นอกจากนั้น หากผมบอกว่าข้าวสาลีหนึ่งควอเตอร์จะถูกแลกเปลี่ยนกับเหล็กในอัตราส่วนอย่างหนึ่ง หรือก็คือมูลค่าของข้าวสาลีหนึ่งควอเตอร์ซึ่งถูกแสดงออกเป็นเหล็กปริมาณหนึ่ง ผมกำลังบอกว่ามูลค่าของข้าวสาลีและของเหล็กที่เท่ากันนั้นก็เท่ากับสิ่งที่สามอีกสิ่ง ซึ่งไม่ใช่ทั้งข้าวสาลีหรือเหล็ก เพราะผมให้มันแสดงถึงขนาดที่เท่ากันในสองรูปร่าง ดังนั้นทั้งสอง ข้าวสาลีหรือเหล็ก จึงจะต้องสามารถถูกลดรูปเป็นสิ่งที่สามนี้ได้ ซึ่งก็คือมาตรวัดที่ทั้งสองมีร่วมกัน}}
To elucidate this point I shall recur to a very simple geometrical illustration. In comparing the areas of triangles of all possible forms and magnitudes, or comparing triangles with rectangles, or any other rectilinear figure, how do we proceed? We reduce the area of any triangle whatever to an expression quite different from its visible form. Having found from the nature of the triangle that its area is equal to half the product of its base by its height, we can then compare the different values of all sorts of triangles, and of all rectilinear figures whatever, because all of them may be resolved into a certain number of triangles.
The same mode of procedure must obtain with the values of commodities. We must be able to reduce all of them to an expression common to all, and distinguishing them only by the proportions in which they contain that identical measure.
As the exchangeable values of commodities are only social functions of those things, and have nothing at all to do with their natural qualities, we must first ask, What is the common social substance of all commodities? It is Labour. To produce a commodity a certain amount of labour must be bestowed upon it, or worked up in it. And I say not only Labour, but Social Labour. A man who produces an article for his own immediate use, to consume it himself, creates a product, but not a commodity. As a self-sustaining producer he has nothing to do with society. But to produce a commodity, a man must not only produce an article satisfying some social want, but his labour itself must form part and parcel of the sum total of labour expended by society. It must be subordinate to the Division of Labour within Society. It is nothing without the other visions of labour, and on its part is required to integrate them.
If we consider commodities as values, we consider them exclusively under the single aspect of realized, fixed, or, if you like, crystallized social labour. In this respect they can differ only by representing greater or smaller quantities of labour, as, for example, a greater amount of labour may be worked up in a silken handkerchief than in a brick. But how does one measure quantities of labour? By the time the labour lasts, in measuring the labour by the hour, the day, etc. Of course, to apply this measure, all sorts of labour are reduced to average or simple labour as their unit.
We arrive, therefore, at this conclusion. A commodity has a value, because it is a crystallization of social labour. The greatness of its value, of its relative value, depends upon the greater or less amount of that social substance contained in it; that is to say, on the relative mass of labour necessary for its production. The relative values of commodities are, therefore, determined by the respective quantities or amounts of labour, worked up, realized, fixed in them. The correlative quantities of commodities which can be produced in the same time of labour are equal. Or the value of one commodity is to the value of another commodity as the quantity of labour fixed in the one is to the quantity of labour fixed in the other.
I suspect that many of you will ask, Does then, indeed, there exist such a vast, or any difference whatever, between determining the values of commodities by wages, and determining them by the relative quantities of labour necessary for their production? You must, however, be aware that the reward for labour, and quantity of labour, are quite disparate things. Suppose, for example, equal quantities of labour to be fixed in one quarter of wheat and one ounce of gold. I resort to the example because it was used by Benjamin Franklin in his first essay published in 1729, and entitled, A Modest Enquiry into the Nature and Necessity of a Paper Currency, where he, one of the first, hit upon the true nature of value. Well. We suppose, then, that one quarter of wheat and one ounce of gold are equal values or equivalents, because they are crystallizations of equal amounts of average labour, of so many days' or so many weeks' labour respectively fixed in them. In thus determining the relative values of gold and corn, do we refer in any way whatever to the wages of the agricultural labourer and the miner? Not a bit. We leave it quite indeterminate how their day's or week's labour was paid, or even whether wages labour was employed at all. If it was, wages may have been very unequal. The labourer whose labour is realized in the quarter of wheat may receive two bushels only, and the labourer employed in mining may receive one-half of the ounce of gold. Or, supposing their wages to be equal, they may deviate in all possible proportions from the values of the commodities produced by them. They may amount to one-half, one-third, one-fourth, one-fifth, or any other proportional part of the one quarter of corn or the one ounce of gold. Their wages can, of course, not exceed, not be more than the values of the commodities they produced, but they can be less in every possible degree. Their wages will be limited by the values of the products, but the values of their products will not be limited by the wages. And above all, the values, the relative values of corn and gold, for example, will have been settled without any regard whatever to the value of the labour employed, that is to say, to wages. To determine the values of commodities by the relative quantities of labour fixed in them, is, therefore, a thing quite different from the tautological method of determining the value of commodities by the value of labour, or by wages. This point, however, will be further elucidated in the progress of our inquiry.
In calculating the exchangeable value of a commodity we must add to the quantity of labour last employed the quantity of labour previously worked up in the raw material of the commodity, and the labour bestowed on the implements, tools, machinery, and buildings, with which such labour is assisted. For example, the value of a certain amount of cotton-yarn is the crystallization of the quantity of labour added to the cotton during the spinning process, the quantity of labour previously realized in the cotton itself, the quantity of labour realized in the coal, oil, and other auxiliary substances used, the quantity of labour fixed in the steam-engine, the spindles, the factory building, and so forth. Instruments of production properly so-called, such as tools, machinery, buildings, serve again and again for a longer or shorter period during repeated processes of production. If they were used up at once, like the raw material, their whole value would at once be transferred to the commodities they assist in producing. But as a spindle, for example, is but gradually used up, an average calculation is made, based upon the average time it lasts, and its average waste or wear and tear during a certain period, say a day. In this way we calculate how much of the value of the spindle is transferred to the yarn daily spun, and how much, therefore, of the total amount of labour realized in a pound of yarn, for example, is due to the quantity of labour previously realized in the spindle. For our present purpose it is not necessary to dwell any longer upon this point.
It might seem that if the value of a commodity is determined by the quantity of labour bestowed upon its production, the lazier a man, or the clumsier a man, the more valuable his commodity, because the greater the time of labour required for finishing the commodity. This, however, would be a sad mistake. You will recollect that I used the word "Social labour," and many points are involved in this qualification of "Social." In saying that the value of a commodity is determined by the quantity of labour worked up or crystallized in it, we mean the quantity of labour necessary for its production in a given state of society, under certain social average conditions of production, with a given social average intensity, and average skill of the labour employed. When, in England, the power-loom came to compete with the hand-loom, only one-half the former time of labour was wanted to convert a given amount of yarn into a yard of cotton or cloth. The poor hand-loom weaver now worked seventeen or eighteen hours daily, instead of the nine or ten hours he had worked before. Still the product of twenty hours of his labour represented now only ten social hours of labour, or ten hours of labour socially necessary for the conversion of a certain amount of yarn into textile stuffs. His product of twenty hours had, therefore, no more value than his former product of ten hours.
If then the quantity of socially necessary labour realized in commodities regulates their exchangeable values, every increase in the quantity of labour wanted for the production of a commodity must augment its value, as every diminution must lower it.
If the respective quantities of labour necessary for the production of the respective commodities remained constant, their relative values also would be constant. But such is not the case. The quantity of labour necessary for the production of a commodity changes continuously with the changes in the productive powers of the labour employed. The greater the productive powers of labour, the more produce is finished in a given time of labour: and the smaller the productive powers of labour, the less produce is finished in the same time. If, for example, in the progress of population it should become necessary to cultivate less fertile soils, the same amount of produce would be only attainable by a greater amount of labour spent, and the value of agricultural produce would consequently rise. On the other hand, if with the modern means of production, a single spinner converts into yarn, during one working day, many thousand times the amount of cotton which he could have spun during the same time with the spinning wheel, it is evident that every single pound of cotton will absorb many thousand times less of spinning labour than it did before, and, consequently, the value added by spinning to every single pound of cotton will be a thousand times less than before. The value of yarn will sink accordingly.
Apart from the different natural energies and acquired working abilities of different peoples, the productive powers of labour must principally depend:
Firstly. Upon the natural conditions of labour, such as fertility of soil, mines, and so forth;
Secondly. Upon the progressive improvement of the Social Powers of Labour, such as are derived from production on a grand scale, concentration of capital and combination of labour, subdivision of labour, machinery, improved methods appliance of chemical and other natural agencies, shortening of time and space by means of communication and transport, and every other contrivance by which science presses natural agencies into the service of labour, and by which the social or co-operative character of labour is developed. The greater the productive powers of labour, the less labour is bestowed upon a given amount of produce; hence the smaller the value of this produce. The smaller the productive powers of labour, the more labour is bestowed upon the same amount of produce; hence the greater its value. As a general law we may, therefore, set it down that: --
The values of commodities are directly as the times of labour employed in their production, and are inversely as the productive powers of the labour employed.
Having till now only spoken of Value, I shall add a few words about Price, which is a peculiar form assumed by value.
Price, taken by itself, is nothing but the monetary expression of value. The values of all commodities of this country, or example, are expressed in gold prices, while on the Continent they are mainly expressed in silver prices. The value of gold or silver, like that of all other commodities, is regulated by the quantity of labour necessary for getting them. You exchange a certain amount of your national products, in which a certain amount of your national labour is crystallized, for the produce of the gold and silver producing countries, in which a certain quantity of their labour is crystallized. It is in this way, in fact by barter, that you learn to express in gold and silver the values of all commodities, that is, the respective quantities of labour bestowed upon them. Looking somewhat closer into the monetary expression of value, or what comes to the same, the conversion of value into price, you will find that it is a process by which you give to the values of all commodities an independent and homogeneous form, or by which you express them as quantities of equal social labour. So far as it is but the monetary expression of value, price has been called natural price by Adam Smith, "prix necessaire" by the French physiocrats.
What then is the relation between value and market prices, or between natural prices and market prices? You all know that the market price is the same for all commodities of the same kind, however the conditions of production may differ for the individual producers. The market price expresses only the average amount of social labour necessary, under the average conditions of production, to supply the market with a certain mass of a certain article. It is calculated upon the whole lot of a commodity of a certain description.
So far the market price of a commodity coincides with its value. On the other hand, the oscillations of market prices, rising now over, sinking now under the value or natural price, depend upon the fluctuations of supply and demand. The deviations of market prices from values are continual, but as Adam Smith says:
<blockquote>The natural price . . . is the central price, to which the prices of all commodities are continually gravitating. Different accidents may sometimes keep them suspended a good deal above it, and sometimes force them down even somewhat below it. But whatever may be the obstacles which hinder them from settling in this centre of repose and continuance they are constantly tending towards it.</blockquote>
I cannot now sift this matter. It suffices to say that if supply and demand equilibrate each other, the market prices of commodities will correspond with their natural prices, that is to say, with, their values, as determined by the respective quantities of labour required for their production. But supply and demand must constantly tend to equilibrate each other, although they do so only by compensating one fluctuation by another, a rise by a fall, and vice versa. If instead of considering only the daily fluctuations you analyze the movement of market prices for longer periods, as Mr. Tooke, for example, has done in his History of Prices, you will find that the fluctuations of market prices, their deviations from values, their ups and downs, paralyze and compensate each other; so that apart from the effect of monopolies and some other modifications I must now pass by, all descriptions of commodities are, on average, sold at their respective values or natural prices. The average periods during which the fluctuations of market prices compensate each other are different for different kinds of commodities, because with one kind it is easier to adapt supply to demand than with the other.
If then, speaking broadly, and embracing somewhat longer periods, all descriptions of commodities sell at their respective values, it is nonsense to suppose that profit, not in individual cases, but that the constant and usual profits of different trades spring from surcharging the prices of commodities, or selling them at a price over and above their value. The absurdity of this notion becomes evident if it is generalized. What a man would constantly win as a seller he would as constantly lose as a purchaser. It would not do to say that there are men who are buyers without being sellers, or consumers without being producers. What these people pay to the producers, they must first get from them for nothing. If a man first takes your money and afterwards returns that money in buying your commodities, you will never enrich yourselves by selling your commodities too dear to that same man. This sort of transaction might diminish a loss, but would never help in realizing a profit.
To explain, therefore, the general nature of profits, you must start from the theorem that, on an average, commodities are sold at their real values, and that profits are derived from selling them at their values, that is, in proportion to the quantity of labour realized in them. If you cannot explain profit upon this supposition, you cannot explain it at all. This seems paradox and contrary to every-day observation. It is also paradox that the earth moves round the sun, and that water consists of two highly inflammable gases. Scientific truth is always paradox, if judged by every-day experience, which catches only the delusive appearance of things.
== VII. พลังที่ใช้แรงงาน ==
[[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 8|VII. พลังที่ใช้แรงงาน]]
หัวเรื่องงานแปล
<!-- ข้อมูลหลัก -->
| ชื่อ = ค่าจ้าง ราคา และกำไร
| ศักราช = ค.ศ.
| ปี = 1865
| ภาษา = en
| ต้นฉบับ = Wages, Price and Profit
| ผู้สร้างสรรค์ = คาร์ล มาคส์
| บรรณาธิการ = เอเลนอร์ มาคส์ เอฟลิง
| ส่วน =
| ผู้มีส่วนร่วม =
| ก่อนหน้า = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 7|VI. มูลค่าและแรงงาน]]
| ถัดไป = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 9|VIII. การผลิตมูลค่าส่วนเกิน]]
| หมายเหตุ =
<!-- ข้อมูลย่อย (สำหรับจัดระเบียบหรือเชื่อมโยงไปหน้าอื่น) -->
| หมวดหมู่ =
| แก้กำกวม =
| รุ่น =
| สถานีย่อย =
| ผู้สร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้อง =
| วิกิพีเดีย =
| คอมมอนส์ =
| หมวดหมู่คอมมอนส์ =
| วิกิคำคม =
| วิกิข่าว =
| วิกิพจนานุกรม =
| วิกิตำรา =
| วิกิห้องสมุด =
| วิกิสนเทศ =
| วิกิท่องเที่ยว =
| วิกิวิทยาลัย =
| วิกิสปีชีส์ =
| เมทา =
Having now, as far as it could be done in such a cursory manner, analyzed the nature of Value, of the Value of any commodity whatever, we must turn our attention to the specific Value of Labour. And here, again, I must startle you by a seeming paradox. All of you feel sure that what they daily sell is their Labour; that, therefore, Labour has a Price, and that, the price of a commodity being only the monetary expression of its value, there must certainly exist such a thing as the Value of Labour. However, there exists no such thing as the Value of Labour in the common acceptance of the word. We have seen that the amount of necessary labour crystallized in a commodity constitutes its value. Now, applying this notion of value, how could we define, say, the value of a ten hours working day? How much labour is contained in that day? Ten hours' labour. To say that the value of a ten hours working day is equal to ten hours' labour, or the quantity of labour contained in it, would be a tautological and, moreover, a nonsensical expression. Of course, having once found out the true but hidden sense of the expression "Value of Labour," we shall be able to interpret this irrational, and seemingly impossible application of value, in the same way that, having once made sure of the real movement of the celestial bodies, we shall be able to explain their apparent or merely phenomenal movements.
What the working man sells is not directly his Labour, but his Labour Power, the temporary disposal of which he makes over to the capitalist. This is so much the case that I do not know whether by the English laws, but certainly by some Continental laws, the maximum time is fixed for which a man is allowed to sell his labouring power. If allowed to do so for any indefinite period whatever, slavery would be immediately restored. Such a sale, if it comprised his lifetime, for example, would make him at once the lifelong slave of his employer.
One of the oldest economists and most original philosophers of England -- Thomas Hobbes -- has already, in his ''Leviathan'', instinctively hit upon this point overlooked by all his successors. He says: "''The value or worth of a man'' is, as in all other things, his price: that is, so much as would be given for the ''Use of his Power''."
Proceeding from this basis, we shall be able to determine the Value of Labour as that of all other commodities.
But before doing so, we might ask, how does this strange phenomenon arise, that we find on the market a set of buyers, possessed of land, machinery, raw material, and the means of subsistence, all of them, save land in its crude state, the products of labour, and on the other hand, a set of sellers who have nothing to sell except their labouring power, their working arms and brains? That the one set buys continually in order to make a profit and enrich themselves, while the other set continually sells in order to earn their livelihood? The inquiry into this question would be an inquiry into what the economists call "Previous, or Original Accumulation," but which ought to be called Original Expropriation. We should heed that this so-called Original Accumulation means nothing but a series of historical processes, resulting in a Decomposition of Original Union existing between the Labouring Man and his Instruments of Labour. Such an inquiry, however, lies beyond the pale of my present subject. The Separation between the Man of Labour and the Instruments of Labour once established, such a state of things will maintain itself and reproduce itself upon a constantly increasing scale, until a new and fundamental revolution in the mode of production should again overturn it, and restore the original union in a new historical form.
What, then, is the Value of Labouring Power?
Like that of every other commodity, its value is determined by the quantity of labour necessary to produce it. The labouring power of a man exists only in his living individuality. A certain mass of necessaries must be consumed by a man to grow up and maintain his life. But the man, like the machine, will wear out, and must be replaced by another man. Beside the mass of necessaries required for his own maintenance, he wants another amount of necessaries to bring up a certain quota of children that are to replace him on the labour market and to perpetuate the race of labourers. Moreover, to develop his labouring power, and acquire a given skill, another amount of values must be spent. For our purpose it suffices to consider only average labour, the costs of whose education and development are vanishing magnitudes. Still I must seize upon this occasion to state that, as the costs of producing labouring powers of different quality differ, so must differ the values of the labouring powers employed in different trades. The cry for an equality of wages rests, therefore, upon a mistake, is an insane wish never to be fulfilled. It is an offspring of that false and superficial radicalism that accepts premises and tries to evade conclusions. Upon the basis of the wages system the value of labouring power is settled like that of every other commodity; and as different kinds of labouring power have different values, or require different quantities of labour for their production, they must fetch different prices in the labour market. To clamour for equal or even equitable retribution on the basis of the wages system is the same as to clamour for freedom on the basis of the slavery system. What you think just or equitable is out of the question. The question is: What is necessary and unavoidable with a given system of production?
After what has been said, it will be seen that the value of labouring power is determined by the value of the necessaries required to produce, develop, maintain, and perpetuate the labouring power.
== VIII. การผลิตมูลค่าส่วนเกิน ==
[[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 9|VIII. การผลิตมูลค่าส่วนเกิน]]
หัวเรื่องงานแปล
<!-- ข้อมูลหลัก -->
| ชื่อ = ค่าจ้าง ราคา และกำไร
| ศักราช = ค.ศ.
| ปี = 1865
| ภาษา = en
| ต้นฉบับ = Wages, Price and Profit
| ผู้สร้างสรรค์ = คาร์ล มาคส์
| บรรณาธิการ = เอเลนอร์ มาคส์ เอฟลิง
| ส่วน =
| ผู้มีส่วนร่วม =
| ก่อนหน้า = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 8|VII. พลังที่ใช้แรงงาน]]
| ถัดไป = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 10|IX. มูลค่าของแรงงาน]]
| หมายเหตุ =
<!-- ข้อมูลย่อย (สำหรับจัดระเบียบหรือเชื่อมโยงไปหน้าอื่น) -->
| หมวดหมู่ =
| แก้กำกวม =
| รุ่น =
| สถานีย่อย =
| ผู้สร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้อง =
| วิกิพีเดีย =
| คอมมอนส์ =
| หมวดหมู่คอมมอนส์ =
| วิกิคำคม =
| วิกิข่าว =
| วิกิพจนานุกรม =
| วิกิตำรา =
| วิกิห้องสมุด =
| วิกิสนเทศ =
| วิกิท่องเที่ยว =
| วิกิวิทยาลัย =
| วิกิสปีชีส์ =
| เมทา =
Now suppose that the average amount of the daily necessaries of a labouring man require six hours of average labour for their production. Suppose, moreover, six hours of average labour to be also realized in a quantity of gold equal to 3s. Then 3s. would be the Price, or the monetary expression of the Daily Value of that man's Labouring Power. If he worked daily six hours he would daily produce a value sufficient to buy the average amount of his daily necessaries, or to maintain himself as a labouring man.
But our man is a wages labourer. He must, therefore, sell his labouring power to a capitalist. If he sells it at 3s. daily, or 18s. weekly, he sells it at its value. Suppose him to be a spinner. If he works six hours daily he will add to the cotton a value of 3s. daily. This value, daily added by him, would be an exact equivalent for the wages, or the price of his labouring power, received daily. But in that case no surplus value or surplus produce whatever would go to the capitalist. Here, then, we come to the rub.
In buying the labouring power of the workman, and paying its value, the capitalist, like every other purchaser, has acquired the right to consume or use the commodity bought. You consume or use the labouring power of a man by making him work, as you consume or use a machine by making it run. By paying the daily or weekly value of the labouring power of the workman, the capitalist has, therefore, acquired the right to use or make that labouring power work during the whole day or week. The working day or the working week has, of course, certain limits, but those we shall afterwards look more closely at.
For the present I want to turn your attention to one decisive point.
The value of the labouring power is determined by the quantity of labour necessary to maintain or reproduce it, but the use of that labouring power is only limited by the active energies and physical strength of the labourer. The daily or weekly value of the labouring power is quite distinct from the daily or weekly exercise of that power, the same as the food a horse wants and the time it can carry the horseman are quite distinct. The quantity of labour by which the value of the workman's labouring power is limited to the quantity of labour which his labouring power is apt to perform. Take the example of our spinner. We have seen that, to daily reproduce his labouring power, he must daily reproduce a value of three shillings, which he will do by working six hours daily. But this does not disable him from working ten or twelve or more hours a day. But by paying the daily or weekly value of the spinner's labouring power, the capitalist has acquired the right of using that labouring power during the whole day or week. He will, therefore, make him work say, daily, twelve hours. Over and above the six hours required to replace his wages, or the value of his labouring power, he will, therefore, have to work six other hours, which I shall call hours of surplus labour, which surplus labour will realize itself in a surplus value and a surplus produce. If our spinner, for example, by his daily labour of six hours, added three shillings' value to the cotton, a value forming an exact equivalent to his wages, he will, in twelve hours, add six shillings' worth to the cotton, and produce a proportional surplus of yarn. As he has sold his labouring power to the capitalist, the whole value of produce created by him belongs to the capitalist, the owner pro tem. of his labouring power. By advancing three shillings, the capitalist will, therefore, realize a value of six shillings, because, advancing a value in which six hours of labour are crystallized, he will receive in return a value in which twelve hours of labour are crystallized. By repeating this same process daily, the capitalist will daily advance three shillings and daily pocket six shillings, one-half of which will go to pay wages anew, and the other half of which will form surplus value, for which the capitalist pays no equivalent. It is this sort of exchange between capital and labour upon which capitalistic production, or the wages system, is founded, and which must constantly result in reproducing the working man as a working man, and the capitalist as a capitalist.
The rate of surplus value, all other circumstances remaining the same, will depend on the proportion between that necessary to reproduce the value of the labouring power and the surplus time or surplus labour performed for the capitalist. It will, therefore, depend on the ratio in which the working day is prolonged over and above that extent, by working which the working man would only reproduce the value of his labouring power, or replace his wages.
== IX. มูลค่าของแรงงาน ==
[[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 10|IX. มูลค่าของแรงงาน]]
หัวเรื่องงานแปล
<!-- ข้อมูลหลัก -->
| ชื่อ = ค่าจ้าง ราคา และกำไร
| ศักราช = ค.ศ.
| ปี = 1865
| ภาษา = en
| ต้นฉบับ = Wages, Price and Profit
| ผู้สร้างสรรค์ = คาร์ล มาคส์
| บรรณาธิการ = เอเลนอร์ มาคส์ เอฟลิง
| ส่วน =
| ผู้มีส่วนร่วม =
| ก่อนหน้า = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 9|VIII. การผลิตมูลค่าส่วนเกิน]]
| ถัดไป = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 11|X. กำไรถูกสร้างขึ้นด้วยการขายโภคภัณฑ์ที่มูลค่าของมัน]]
| หมายเหตุ =
<!-- ข้อมูลย่อย (สำหรับจัดระเบียบหรือเชื่อมโยงไปหน้าอื่น) -->
| หมวดหมู่ =
| แก้กำกวม =
| รุ่น =
| สถานีย่อย =
| ผู้สร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้อง =
| วิกิพีเดีย =
| คอมมอนส์ =
| หมวดหมู่คอมมอนส์ =
| วิกิคำคม =
| วิกิข่าว =
| วิกิพจนานุกรม =
| วิกิตำรา =
| วิกิห้องสมุด =
| วิกิสนเทศ =
| วิกิท่องเที่ยว =
| วิกิวิทยาลัย =
| วิกิสปีชีส์ =
| เมทา =
We must now return to the expression, "''Value, or Price of Labour.''"
We have seen that, in fact, it is only the value of the labouring power, measured by the values of commodities necessary for its maintenance. But since the workman receives his wages after his labour is performed, and knows, moreover, that what he actually gives to the capitalist is his labour, the value or price of his labouring power necessarily appears to him as the price or value of his labour itself. If the price of his labouring power is three shillings, in which six hours of labour are realized, and if he works twelve hours, he necessarily considers these three shillings as the value or price of twelve hours of labour, although these twelve hours of labour realize themselves in a value of six shillings. A double consequence flows from this.
Firstly. The value or price of the labouring power takes the semblance of the price or value of labour itself, although, strictly speaking, value and price of labour are senseless terms.
Secondly. Although one part only of the workman's daily labour is paid, while the other part is unpaid, and while that unpaid or surplus labour constitutes exactly the fund out of which surplus value or profit is formed, it seems as if the aggregate labour was paid labour.
This false appearance distinguishes wages labour from other historical forms of labour. On the basis of the wages system even the unpaid labour seems to be paid labour. With the slave, on the contrary, even that part of his labour which is paid appears to be unpaid. Of course, in order to work the slave must live, and one part of his working day goes to replace the value of his own maintenance. But since no bargain is struck between him and his master, and no acts of selling and buying are going on between the two parties, all his labour seems to be given away for nothing.
Take, on the other hand, the peasant serf, such as he, I might say, until yesterday existed in the whole East of Europe. This peasant worked, for example, three days for himself on his own field or the held allotted to him, and the three subsequent days he performed compulsory and gratuitous labour on the estate of his lord. Here, then, the paid and unpaid parts of labour were sensibly separated, separated in time and space, and our Liberals overflowed with moral indignation at the preposterous notion of making a man work for nothing.
In point of fact, however, whether a man works three days of the week for himself on his own field and three days for nothing on the estate of his lord, or whether he works in the factory or the workshop six hours daily for himself and six for his employer, comes to the same, although in the latter case the paid and unpaid portions of labour are inseparably mixed up with each other, and the nature of the whole transaction is completely masked by the intervention of a contract and the pay received at the end of the week. The gratuitous labour appears to be voluntarily given in the one instance, and to be compulsory in the other. That makes all the difference.
In using the word "value of labour," I shall only use it as a popular slang term for "value of labouring power."
== X. กำไรถูกสร้างขึ้นด้วยการขายโภคภัณฑ์ที่มูลค่าของมัน ==
[[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 11|X. กำไรถูกสร้างขึ้นด้วยการขายโภคภัณฑ์ที่มูลค่าของมัน]]
หัวเรื่องงานแปล
<!-- ข้อมูลหลัก -->
| ชื่อ = ค่าจ้าง ราคา และกำไร
| ศักราช = ค.ศ.
| ปี = 1865
| ภาษา = en
| ต้นฉบับ = Wages, Price and Profit
| ผู้สร้างสรรค์ = คาร์ล มาคส์
| บรรณาธิการ = เอเลนอร์ มาคส์ เอฟลิง
| ส่วน =
| ผู้มีส่วนร่วม =
| ก่อนหน้า = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 10|IX. มูลค่าของแรงงาน]]
| ถัดไป = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 12|XI. ส่วนต่าง ๆ ที่มูลค่าส่วนเกินถูกจำแนกไป]]
| หมายเหตุ =
<!-- ข้อมูลย่อย (สำหรับจัดระเบียบหรือเชื่อมโยงไปหน้าอื่น) -->
| หมวดหมู่ =
| แก้กำกวม =
| รุ่น =
| สถานีย่อย =
| ผู้สร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้อง =
| วิกิพีเดีย =
| คอมมอนส์ =
| หมวดหมู่คอมมอนส์ =
| วิกิคำคม =
| วิกิข่าว =
| วิกิพจนานุกรม =
| วิกิตำรา =
| วิกิห้องสมุด =
| วิกิสนเทศ =
| วิกิท่องเที่ยว =
| วิกิวิทยาลัย =
| วิกิสปีชีส์ =
| เมทา =
Suppose an average hour of labour to be realized in a value equal to sixpence, or twelve average hours of labour to be realized in six shillings. Suppose, further, the value of labour to be three shillings or the produce of six hours' labour. If, then, in the raw material, machinery, and so forth, used up in a commodity, twenty-four hours of average labour were realized, its value would amount to twelve shillings. If, moreover, the workman employed by the capitalist added twelve hours of labour to those means of production, these twelve hours would be realized in an additional value of six shillings. The total value of the product would, therefore, amount to thirty-six hours of realized labour, and be equal to eighteen shillings. But as the value of labour, or the wages paid to the workman, would be three shillings only, no equivalent would have been paid by the capitalist for the six hours of surplus labour worked by the workman, and realized in the value of the commodity. By selling this commodity at its value for eighteen shillings, the capitalist would, therefore, realize a value of three shillings, for which he had paid no equivalent. These three shillings would constitute the surplus value or profit pocketed by him. The capitalist would consequently realize the profit of three shillings, not by selling his commodity at a price over and above its value, but by selling it at its real value.
The value of a commodity is determined by the total quantity of labour contained in it. But part of that quantity of labour is realized in a value, for which an equivalent has been paid in the form of wages; part of it is realized in a value for which no equivalent has been paid. Part of the labour contained in the commodity is paid labour; part is unpaid labour. By selling, therefore, the commodity at its value, that is, as the crystallization of the total quantity of labour bestowed upon it, the capitalist must necessarily sell it at a profit. He sells not only what has cost him an equivalent, but he sells also what has cost him nothing, although it has cost his workman labour. The cost of the commodity to the capitalist and its real cost are different things. I repeat, therefore, that normal and average profits are made by selling commodities not above, but at their real values.
== XI. ส่วนต่าง ๆ ที่มูลค่าส่วนเกินถูกจำแนกไป ==
[[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 12|XI. ส่วนต่าง ๆ ที่มูลค่าส่วนเกินถูกจำแนกไป]]
หัวเรื่องงานแปล
<!-- ข้อมูลหลัก -->
| ชื่อ = ค่าจ้าง ราคา และกำไร
| ศักราช = ค.ศ.
| ปี = 1865
| ภาษา = en
| ต้นฉบับ = Wages, Price and Profit
| ผู้สร้างสรรค์ = คาร์ล มาคส์
| บรรณาธิการ = เอเลนอร์ มาคส์ เอฟลิง
| ส่วน =
| ผู้มีส่วนร่วม =
| ก่อนหน้า = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 11|X. กำไรถูกสร้างขึ้นด้วยการขายโภคภัณฑ์ที่มูลค่าของมัน]]
| ถัดไป = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 13|XII. ความสัมพันธ์โดยทั่วไปของกำไร ค่าจ้าง และราคา]]
| หมายเหตุ =
<!-- ข้อมูลย่อย (สำหรับจัดระเบียบหรือเชื่อมโยงไปหน้าอื่น) -->
| หมวดหมู่ =
| แก้กำกวม =
| รุ่น =
| สถานีย่อย =
| ผู้สร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้อง =
| วิกิพีเดีย =
| คอมมอนส์ =
| หมวดหมู่คอมมอนส์ =
| วิกิคำคม =
| วิกิข่าว =
| วิกิพจนานุกรม =
| วิกิตำรา =
| วิกิห้องสมุด =
| วิกิสนเทศ =
| วิกิท่องเที่ยว =
| วิกิวิทยาลัย =
| วิกิสปีชีส์ =
| เมทา =
The surplus value, or that part of the total value of the commodity in which the surplus labour or unpaid labour of the working man is realized, I call Profit. The whole of that profit is not pocketed by the employing capitalist. The monopoly of land enables the landlord to take one part of that surplus value, under the name of rent, whether the land is used for agriculture, buildings or railways, or for any other productive purpose. On the other hand, the very fact that the possession of the instruments of labour enables the employing capitalist to produce a surplus value, or, what comes to the same, to appropriate to himself a certain amount of unpaid labour, enables the owner of the means of labour, which he lends wholly or partly to the employing capitalist -- enables, in one word, the money-lending capitalist to claim for himself under the name of interest another part of that surplus value, so that there remains to the employing capitalist as such only what is called industrial or commercial profit.
By what laws this division of the total amount of surplus value amongst the three categories of people is regulated is a question quite foreign to our subject. This much, however, results from what has been stated.
Rent, Interest, and Industrial Profit are only different names for different parts of the surplus value of the commodity, or the unpaid labour enclosed in it, and they are equally derived from this source, and from this source alone. They are not derived from land as such or from capital as such, but land and capital enable their owners to get their respective shares out of the surplus value extracted by the employing capitalist from the labourer. For the labourer himself it is a matter of subordinate importance whether that surplus value, the result of his surplus labour, or unpaid labour, is altogether pocketed by the employing capitalist, or whether the latter is obliged to pay portions of it, under the name of rent and interest, away to third parties. Suppose the employing capitalist to use only his own capital and to be his own landlord, then the whole surplus value would go into his pocket.
It is the employing capitalist who immediately extracts from the labourer this surplus value, whatever part of it he may ultimately be able to keep for himself. Upon this relation, therefore, between the employing capitalist and the wages labourer the whole wages system and the whole present system of production hinge. Some of the citizens who took part in our debate were, therefore, wrong in trying to mince matters, and to treat this fundamental relation between the employing capitalist and the working man as a secondary question, although they were right in stating that, under given circumstances, a rise of prices might affect in very unequal degrees the employing capitalist, the landlord, the moneyed capitalist, and, if you please, the tax gatherer.
Another consequence follows from what has been stated.
That part of the value of the commodity which represents only the value of the raw materials, the machinery, in one word, no revenue at all, but replaces only capital. But, apart from this, it is false that the other part of the value of the commodity which forms revenue, or may be spent in the form of wages, profits, rent, interest, is constituted by the value of wages, the value of rent, the value of profits, and so forth. We shall, in the first instance, discard wages, and only treat industrial profits, interest, and rent. We have just seen that the surplus value contained in the commodity or that part of its value in which unpaid labour is realized, resolves itself into different fractions, bearing three different names. But it would be quite the reverse of the truth to say that its value is composed of, or formed by, the addition of the independent values of these three constituents.
If one hour of labour realizes itself in a value of sixpence, if the working day of the labourer comprises twelve hours, if half of this time is unpaid labour, that surplus labour will add to the commodity a surplus value of three shillings, that is, of value for which no equivalent has been paid. This surplus value of three shillings constitutes the whole fund which the employing capitalist may divide, in whatever proportions, with the landlord and the money-lender. The value of these three shillings constitutes the limit of the value they have to divide amongst them. But it is not the employing capitalist who adds to the value of the commodity an arbitrary value for his profit, to which another value is added for the landlord, and so forth, so that the addition of these arbitrarily fixed values would constitute the total value. You see, therefore, the fallacy of the popular notion, which confounds the decomposition of a given value into three parts, with the formation of that value by the addition of three independent values, thus converting the aggregate value, from which rent, profit, and interest are derived, into an arbitrary magnitude.
If the total profit realized by a capitalist be equal to £100, we call this sum, considered as absolute magnitude, the amount of profit. But if we calculate the ratio which those £100 bear to the capital advanced, we call this relative magnitude. It is evident that this rate of profit may be expressed in a double way.
Suppose £100 to be the capital advanced in wages. If the surplus value created is also £100 -- and this would show us that half the working day of the labourer consists of unpaid labour -- and if we measured this profit by the value of the capital advanced in wages, we should say that the rate of profit amounted to one hundred per cent., because the value advanced would be one hundred and the value realized would be two hundred.
If, on the other hand, we should not only consider the capital advanced in wages, but the total capital advanced, say, for example, £500, of which £400 represented the value of raw materials, machinery, and so forth, we should say that the rate of profit amounted only to twenty per cent., because the profit of one hundred would be but the fifth part of the total capital advanced.
The first mode of expressing the rate of profit is the only one which shows you the real ratio between paid and unpaid labour, the real degree of the exploitation (you must allow me this French word) of labour. The other mode of expression is that in common use, and is, indeed, appropriate for certain purposes. At all events, it is very useful for concealing the degree in which the capitalist extracts gratuitous labour from the workman.
In the remarks I have still to make I shall use the word Profit for the whole amount of the surplus value extracted by the capitalist without any regard to the division of that surplus value between different parties, and in using the words Rate of Profit, I shall always measure profits by the value of the capital advanced in wages.
== XII. ความสัมพันธ์โดยทั่วไปของกำไร ค่าจ้าง และราคา ==
[[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 13|XII. ความสัมพันธ์โดยทั่วไปของกำไร ค่าจ้าง และราคา]]
หัวเรื่องงานแปล
<!-- ข้อมูลหลัก -->
| ชื่อ = ค่าจ้าง ราคา และกำไร
| ศักราช = ค.ศ.
| ปี = 1865
| ภาษา = en
| ต้นฉบับ = Wages, Price and Profit
| ผู้สร้างสรรค์ = คาร์ล มาคส์
| บรรณาธิการ = เอเลนอร์ มาคส์ เอฟลิง
| ส่วน =
| ผู้มีส่วนร่วม =
| ก่อนหน้า = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 12|XI. ส่วนต่าง ๆ ที่มูลค่าส่วนเกินถูกจำแนกไป]]
| ถัดไป = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 14|XIII. กรณีหลักของความพยายามในการเพิ่มค่าจ้างหรือการต่อต้านการลดต่ำลงของมัน]]
| หมายเหตุ =
<!-- ข้อมูลย่อย (สำหรับจัดระเบียบหรือเชื่อมโยงไปหน้าอื่น) -->
| หมวดหมู่ =
| แก้กำกวม =
| รุ่น =
| สถานีย่อย =
| ผู้สร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้อง =
| วิกิพีเดีย =
| คอมมอนส์ =
| หมวดหมู่คอมมอนส์ =
| วิกิคำคม =
| วิกิข่าว =
| วิกิพจนานุกรม =
| วิกิตำรา =
| วิกิห้องสมุด =
| วิกิสนเทศ =
| วิกิท่องเที่ยว =
| วิกิวิทยาลัย =
| วิกิสปีชีส์ =
| เมทา =
Deduct from the value of a commodity the value replacing the value of the raw materials and other means of production used upon it, that is to say, deduct the value representing the past labour contained in it, and the remainder of its value will resolve into the quantity of labour added by the working man last employed. If that working man works twelve hours daily, if twelve hours of average labour crystallize themselves in an amount of gold equal to six shillings, this additional value of six shillings is the only value his labour will have created. This given value, determined by the time of his labour, is the only fund from which both he and the capitalist have to draw their respective shares or dividends, the only value to be divided into wages and profits. It is evident that this value itself will not be altered by the variable proportions in which it may be divided amongst the two parties. There will also be nothing changed if in the place of one working man you put the whole working population, twelve million working days, for example, instead of one.
Since the capitalist and workman have only to divide this limited value, that is, the value measured by the total labour of the working man, the more the one gets the less will the other get, and vice versa. Whenever a quantity is given, one part of it will increase inversely as the other decreases. If the wages change, profits will change in an opposite direction. If wages fall profits will rise; and if wages rise, profits will fall. If the working man, on our former supposition, gets shillings, equal to one-half of the value he has created, or if his whole working day consists half of paid, half of unpaid labour, the rate of profit will be 100 per cent., because the capitalist would also get three shillings. If the working man receives only two shillings, or works only one third of the whole day for himself, the capitalist will get four shillings, and the rate of profit will be 200 per cent. If the working man receives four shillings, the capitalist will only receive two, and the rate of profit would sink to 50 per cent., but all these variations will not affect the value of the commodity. A general rise of wages would, therefore, result in a fall of the general rate of profit, but not affect values.
But although the values of commodities, which must ultimately regulate their market prices, are exclusively determined by the total quantities of labour fixed in them, and not by the division of that quantity into paid and unpaid labour, it by no means follows that the values of the single commodities, or lots of commodities, produced during twelve hours, for example, will remain constant. The number or mass of commodities produced in a given time of labour, or by a given quantity of labour, depends unon the productive power of the labour employed, and upon its extent or length. With one degree of the productive power of spinning labour, for example, a working day of twelve hours may produce twelve pounds of yarn, with a lesser degree of productive power only two pounds. If then twelve hours' average labour were realized in the value of six shillings in the one case, the twelve pounds of yarn would cost six shillings, in the other case the two pounds of yarn would also cost six shillings. One pound of yarn would, therefore, cost sixpence in the one case, and three shillings in the other. This difference of price would result from the difference in the productive powers of the labour employed. One hour of labour would be realized in one pound of yarn with the greater productive power, while with the smaller productive power, six hours of labour would be realized in one pound of yarn. The price of a pound of yarn would, in the one instance, be only sixpence, although wages were relatively high and the rate of profit low, it would be three shillings in the other instance, although wages were low and the rate of profit high. This would be so because the price of the pound of yarn is regulated by the total amount of labour worked up in it, and not by the proportional division of that total amount into paid and unpaid labour. The fact I have before mentioned that high-priced labour may produce cheap, and low-priced labour may produce dear commodities, loses, therefore, its paradoxical appearance. It is only the expression of the general law that the value of a commodity is regulated by the quantity of labour worked up in it, and that the quantity of labour worked up in it depends altogether upon the productive powers of the labour employed, and will, therefore, vary with every variation in the productivity of labour.
== XIII. กรณีหลักของความพยายามในการเพิ่มค่าจ้างหรือการต่อต้านการลดต่ำลงของมัน ==
[[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 14|XIII. กรณีหลักของความพยายามในการเพิ่มค่าจ้างหรือการต่อต้านการลดต่ำลงของมัน]]
หัวเรื่องงานแปล
<!-- ข้อมูลหลัก -->
| ชื่อ = ค่าจ้าง ราคา และกำไร
| ศักราช = ค.ศ.
| ปี = 1865
| ภาษา = en
| ต้นฉบับ = Wages, Price and Profit
| ผู้สร้างสรรค์ = คาร์ล มาคส์
| บรรณาธิการ = เอเลนอร์ มาคส์ เอฟลิง
| ส่วน =
| ผู้มีส่วนร่วม =
| ก่อนหน้า = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 13|XII. ความสัมพันธ์โดยทั่วไปของกำไร ค่าจ้าง และราคา]]
| ถัดไป = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 15|XIV. การต่อสู้ระหว่างทุนกับแรงงานและผลลัพธ์ของมัน]]
| หมายเหตุ =
<!-- ข้อมูลย่อย (สำหรับจัดระเบียบหรือเชื่อมโยงไปหน้าอื่น) -->
| หมวดหมู่ =
| แก้กำกวม =
| รุ่น =
| สถานีย่อย =
| ผู้สร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้อง =
| วิกิพีเดีย =
| คอมมอนส์ =
| หมวดหมู่คอมมอนส์ =
| วิกิคำคม =
| วิกิข่าว =
| วิกิพจนานุกรม =
| วิกิตำรา =
| วิกิห้องสมุด =
| วิกิสนเทศ =
| วิกิท่องเที่ยว =
| วิกิวิทยาลัย =
| วิกิสปีชีส์ =
| เมทา =
Let us now seriously consider the main cases in which a rise of wages is attempted or a reduction of wages resisted.
1. We have seen that the value of the labouring power, or in more popular parlance, the value of labour, is determined by the value of necessaries, or the quantity of labour required to produce them. If, then, in a given country the value of the daily average necessaries of the labourer represented six hours of labour expressed in three shillings, the labourer would have to work six hours daily to produce an equivalent for his daily maintenance. If the whole working day was twelve hours, the capitalist would pay him the value of his labour by paying him three shillings. Half the working day would be unpaid labour, and the rate of profit would amount to 100 per cent. But now suppose that, consequent upon a decrease of productivity, more labour should be wanted to produce, say, the same amount of agricultural produce, 60 that the price of the average daily necessaries should rise from three to four shillings. In that case the value of labour would rise by one-third, or 331/3 per cent. Eight hours of the working day would be required to produce an equivalent for the daily maintenance of the labourer, according to his old standard of living. The surplus labour would therefore sink from six hours to four, and the rate of profit from 100 to 50 per cent. But in insisting upon a rise of wages, the labourer would only insist upon getting the increased value of his labour, like every other seller of a commodity, who, the costs of his commodities having increased, tries to get its increased value paid. If wages did not rise, or not sufficiently rise, to compensate for the increased values of necessaries, the price of labour would sink below the value of labour, and the labourer's standard of life would deteriorate.
But a change might also take place in an opposite direction. By virtue of the increased productivity of labour, the same amount of the average daily necessaries might sink from three to two shillings, or only four hours out of the working day, instead of six, be wanted to reproduce an equivalent for the value of the daily necessaries. The working man would now be able to buy with two shillings as many necessaries as he did before with three shillings. Indeed, the value of labour would have sunk, but that diminished value would command the same amount of commodities as before. Then profits would rise from three to four shillings, and the rate of profit from 100 to 200 per cent. Although the labourer's absolute standard of life would have remained the same, his relative wages, and therewith his relative social position, as compared with that of the capitalist, would have been lowered. If the working man should resist that reduction of relative wages, he would only try to get some share in the increased productive powers of his own labour, and to maintain his former relative position in the social scale. Thus, after the abolition of the Corn Laws, and in flagrant violation of the most solemn pledges given during the anti-Corn Law agitation, the English factory lords generally reduced wages ten per cent. The resistance of the workmen was at first baffled, but, consequent upon circumstances I cannot now enter upon, the ten per cent. lost were afterwards regained.
2. The values of necessaries, and consequently the value of labour, might remain the same, but a change might occur in their money prices, consequent upon a previous change in the value of money.
By the discovery of more fertile mines and so forth, two ounces of gold might, for example, cost no more labour to produce than one ounce did before. The value of gold would then be depreciated by one-half, or fifty per cent. As the values of all other commodities would then be expressed in twice their former money prices, so also the same with the value of labour. Twelve hours of labour, formerly expressed in six shillings, would now be expressed in twelve shillings. If the working man's wages should remain three shillings, instead of rising to six shillings, the money price of his labour would only be equal to half the value of his labour, and his standard of life would fearfully deteriorate. This would also happen in a greater or lesser degree if his wages should rise, but not proportionately to the fall in the value of gold. In such a case nothing would have been changed, either in the productive powers of labour, or in supply and demand, or in values. Nothing could have changed except the money names of those values. To say that in such a case the workman ought not to insist upon a proportionate rise of wages, is to say that he must be content to be paid with names, instead of with things. All past history proves that whenever such a depreciation of money occurs, the capitalists are on the alert to seize this opportunity for defrauding the workman. A very large school of political economists assert that, consequent upon the new discoveries of gold lands, the better working of silver mines, and the cheaper supply of quicksilver, the value of precious metals has been again depreciated. This would explain the general and simultaneous attempts on the Continent at a rise of wages.
3. We have till now supposed that the working day has given limits. The working day, however, has, by itself, no constant limits. It is the constant tendency of capital to stretch it to its utmost physically possible length, because in the same degree surplus labour, and consequently the profit resulting therefrom, will be increased. The more capital succeeds in prolonging the working day, the greater the amount of other people's labour it will appropriate. During the seventeenth and even the first two-thirds of the eighteenth century a ten hours working day was the normal working day all over England. During the anti-Jacobin war, which was in fact a war waged by the British barons against the British working masses, capital celebrated its bacchanalia, and prolonged the working day from ten to twelve, fourteen, eighteen hours. Malthus, by no means a man whom you would suspect of a maudlin sentimentalism, declared in a pamphlet, published about 1815, that if this sort of thing was to go on the life of the nation would be attacked at its very source. A few years before the general introduction of the newly-invented machinery, about 1765, a pamphlet appeared in England under the title, An Essay on Trade. The anonymous author, an avowed enemy of the working classes, declaims on the necessity of expanding the limits of the working day. Amongst other means to this end, he proposes working houses, which, he says, ought to be "Houses of Terror." And what is the length of the working day he prescribes for these "Houses of Terror"? Twelve hours, the very same time which in 1832 was declared by capitalists, political economists, and ministers to be not only the existing but the necessary time of labour for a child under twelve years.
By selling his labouring power, and he must do so under the present system, the working man makes over to the capitalist the consumption of that power, but within certain rational limits. He sells his labouring power in order to maintain it, apart from its natural wear and tear, but not to destroy it. In selling his labouring power at its daily or weekly value, it is understood that in one day or one week that labouring power shall not be submitted to two days' or two weeks' waste or wear and tear. Take a machine worth £1,000. If it is used up in ten years it will add to the value of the commodities in whose production it assists £100 yearly. If it be used up in five years it would add £200 yearly, or the value of its annual wear and tear is in inverse ratio to the time in which it is consumed. But this distinguishes the working man from the machine. Machinery does not wear out exactly in the same ratio in which it is used. Man, on the contrary, decays in a greater ratio than would be visible from the mere numerical addition of work.
In their attempts at reducing the working day to its former rational dimensions, or, where they cannot enforce a legal fixation of a normal working day, at checking overwork by a rise of wages, a rise not only in proportion to the surplus time exacted, but in a greater proportion, working men fulfil only a duty to themselves and their race. They only set limits to the tyrannical usurpations of capital. Time is the room of human development. A man who has no free time to dispose of, whose whole lifetime, apart from the mere physical interruptions by sleep, meals, and so forth, is absorbed by his labour for the capitalist, is less than a beast of burden. He is a mere machine for producing Foreign Wealth, broken in body and brutalized in mind. Yet the whole history of modern industry shows that capital, if not checked, will recklessly and ruthlessly work to cast down the whole working class to this utmost state of degradation.
In prolonging the working day the capitalist may pay higher wages and still lower the value of labour, if the rise of wages does not correspond to the greater amount of labour extracted, and the quicker decay of the labouring power thus caused. This may be done in another way. Your middle-class statisticians will tell you, for instance, that the average wages of factory families in Lancashire have risen. They forget that instead of the labour of the man, the head of the family, his wife and perhaps three or four children are now thrown under the Juggernaut wheels of capital, and that the rise of the aggregate wages does not correspond to the aggregate surplus labour extracted from the family.
Even with given limits of the working day, such as they now exist in all branches of industry subjected to the factory laws, a rise of wages may become necessary, if only to keep up the old standard value of labour. By increasing the intensity of labour, a man may be made to expend as much vital force in one hour as he formerly did in two. This has, to a certain degree, been effected in the trades, placed under the Factory Acts, by the acceleration of machinery, and the greater number of working machines which a single individual has now to superintend. If the increase in the intensity of labour or the mass of labour spent in an hour keeps some fair proportion to the decrease in the extent of the working day, the working man will still be the winner. If this limit is overshot, he loses in one form what he has gained in another, and ten hours of labour may then become as ruinous as twelve hours were before. In checking this tendency of capital, by struggling for a rise of wages corresponding to the rising intensity of labour, the working man only resists the depreciation of his labour and the deterioration of his race.
4. All of you know that, from reasons I have not now to explain, capitalistic production moves through certain periodical cycles. It moves through a state of quiescence, growing animation, prosperity, overtrade, crisis, and stagnation. The market prices of commodities, and the market rates of profit, follow these phases, now sinking below their averages, now rising above them. Considering the whole cycle, you will find that one deviation of the market price is being compensated by the other, and that, taking the average of the cycle, the market prices of commodities are regulated by their values. Well! During the phase of sinking market prices and the phases of crisis and stagnation, the working man, if not thrown out of employment altogether, is sure to have his wages lowered. Not to be defrauded, he must, even with such a fall of market prices, debate with the capitalist in what proportional degree a fall of wages has become necessary. If, during the phases of prosperity, when extra profits are made, he did not battle for a rise of wages, he would, taking the average of one industrial cycle, not even receive his average wages, or the value of his labour. It is the utmost height of folly to demand that while his wages are necessarily affected by the adverse phases of the cycle, he should exclude himself from compensation during the prosperous phases of the cycle. Generally, the values of all commodities are only realized by the compensation of the continuously changing market prices, springing from the continuous fluctuations of demand and supply. On the basis of the present system labour is only a commodity like others. It must, therefore, pass through the same fluctuations to fetch an average price corresponding to its value. It would be absurd to treat it on the one hand as a commodity, and to want on the other hand to exempt it from the laws which regulate the prices of commodities. The slave receives a permanent and fixed amount of maintenance; the wages labourer does not. He must try to get a rise of wages in the one instance, if only to compensate for a fall of wages in the other. If he resigned himself to accept the will, the dictates of the capitalist as a permanent economical law, he would share in all the miseries of the slave, without the security of the slave.
5. In all the cases I have considered, and they form ninety-nine out of a hundred, you have seen that a struggle for a rise of wages follows only in the track of previous changes, and is the necessary offspring of previous changes in the amount of production, the productive powers of labour, the value of labour, the value of money, the extent or the intensity of labour extracted, the fluctuations of market prices, dependent upon the fluctuations of demand and supply, and consistent with the different phases of the industrial cycle; in one word, as reactions of labour against the previous action of capital. By treating the struggle for a rise of wages independently of all these circumstances, by looking only upon the changes of wages, and overlooking all the other changes from which they emanate, you proceed from a false premise in order to arrive at false conclusions.
== XIV. การต่อสู้ระหว่างทุนกับแรงงานและผลลัพธ์ของมัน ==
[[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 15|XIV. การต่อสู้ระหว่างทุนกับแรงงานและผลลัพธ์ของมัน]]
หัวเรื่องงานแปล
<!-- ข้อมูลหลัก -->
| ชื่อ = ค่าจ้าง ราคา และกำไร
| ศักราช = ค.ศ.
| ปี = 1865
| ภาษา = en
| ต้นฉบับ = Wages, Price and Profit
| ผู้สร้างสรรค์ = คาร์ล มาคส์
| บรรณาธิการ = เอเลนอร์ มาคส์ เอฟลิง
| ส่วน =
| ผู้มีส่วนร่วม =
| ก่อนหน้า = [[งานแปล:ค่าจ้าง ราคา และกำไร/บทที่ 14|XIII. กรณีหลักของความพยายามในการเพิ่มค่าจ้างหรือการต่อต้านการลดต่ำลงของมัน]]
| ถัดไป =
| หมายเหตุ =
<!-- ข้อมูลย่อย (สำหรับจัดระเบียบหรือเชื่อมโยงไปหน้าอื่น) -->
| หมวดหมู่ =
| แก้กำกวม =
| รุ่น =
| สถานีย่อย =
| ผู้สร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้อง =
| วิกิพีเดีย =
| คอมมอนส์ =
| หมวดหมู่คอมมอนส์ =
| วิกิคำคม =
| วิกิข่าว =
| วิกิพจนานุกรม =
| วิกิตำรา =
| วิกิห้องสมุด =
| วิกิสนเทศ =
| วิกิท่องเที่ยว =
| วิกิวิทยาลัย =
| วิกิสปีชีส์ =
| เมทา =
1. Having shown that the periodical resistance on the part of the working men against a reduction of wages, and their periodical attempts at getting a rise of wages, are inseparable from the wages system, and dictated by the very fact of labour being assimilated to commodities, and therefore subject to the laws regulating the general movement of prices; having, furthermore, shown that a general rise of wages would result in a fall in the general rate of profit, but not affect the average prices of commodities, or their values, the question now ultimately arises, how far, in this incessant struggle between capital and labour, the latter is likely to prove successful.
I might answer by a generalization, and say that, as with all other commodities, so with labour, its market price will, in the long run, adapt itself to its value; that, therefore, despite all the ups and downs, and do what he may, the working man will, on an average, only receive the value of his labour which resolves into the value of his labouring power, which is determined by the value of the necessaries required for its maintenance and reproduction, which value of necessaries finally is regulated by the quantity of labour wanted to produce them.
But there are some peculiar features which distinguish the value of the labouring power, or value of labour, from the value of all other commodities. The value of the labouring power is formed by two elements -- the one merely physical, the other historical or social. Its ultimate limit is determined by the physical element, that is to say, to maintain and reproduce itself, to perpetuate its physical existence, the working class must receive the necessaries absolutely indispensable for living and multiplying. The value of those indispensable necessaries forms, therefore, the ultimate limit of the value of labour. On the other hand, the length of the working day is also limited by ultimate, although very elastic boundaries. Its ultimate limit is given by the physical force of the labouring man. If the daily exhaustion of his vital forces exceeds a certain degree, it cannot be exerted anew, day by day. However, as I said, this limit is very elastic. A quick succession of unhealthy and short-lived generations will keep the labour market as well supplied as a series of vigorous and long-lived generations.
Besides this mere physical element, the value of labour is in every country determined by a traditional standard of life. It is not mere physical life, but it is the satisfaction of certain wants springing from the social conditions in which people are placed and reared up. The English standard of life may be reduced to the Irish standard; the standard of life of a German peasant to that of a Livonian peasant. The important part which historical tradition and social habitude play in this respect, you may learn from Mr. Thornton's work on Over-population, where he shows that the average wages in different agricultural districts of England still nowadays differ more or less according to the more or less favourable circumstances under which the districts have emerged from the state of serfdom.
This historical or social element, entering into the value of labour, may be expanded, or contracted, or altogether extinguished, so that nothing remains but the physical limit. During the time of the anti-Jacobin war, undertaken, as the incorrigible tax-eater and sinecurist, old George Rose, used to say, to save the comforts of our holy religion from the inroads of the French infidels, the honest English farmers, so tenderly handled in a former chapter of ours, depressed the wages of the agricultural labourers even beneath that mere physical minimum, but made up by Poor Laws the remainder necessary for the physical perpetuation of the race. This was a glorious way to convert the wages labourer into a slave, and Shakespeare's proud yeoman into a pauper.
By comparing the standard wages or values of labour in different countries, and by comparing them in different historical epochs of the same country, you will find that the value of labour itself is not a fixed but a variable magnitude, even supposing the values of all other commodities to remain constant.
A similar comparison would prove that not only the market rates of profit change, but its average rates.
But as to profits, there exists no law which determines their minimum. We cannot say what is the ultimate limit of their decrease. And why cannot we fix that limit? Because although we can fix the minimum of wages, we cannot fix their maximum. We can only say that, the limits of the working day being given, the maximum of profit corresponds to the physical minimum of wages; and that wages being given, the maximum of profit corresponds to such a prolongation of the working day as is compatible with the physical force of the labourer. The maximum of profit is, therefore, limited by the physical minimum of wages and the physical maximum of the working day. It is evident that between the two limits of this maximum rate of profit an immense scale of variations is possible. The fixation of its actual degree is only settled by the continuous struggle between capital and labour, the capitalist constantly tending to reduce wages to their physical minimum, and to extend the working day to its physical maximum, while the working man constantly presses in the opposite direction.
The matter resolves itself into a question of the respective powers of the combatants.
2. As to the limitation of the working day in England, as in all other countries, it has never been settled except by legislative interference. Without the working men's continuous pressure from without, that interference would never have taken place. But at all events, the result was not to be attained by private settlement between the working men and the capitalists. This very necessity of general political action affords the proof that in its merely economic action capital is the stronger side.
As to the limits of the value of labour, its actual settlement always depends upon supply and demand, I mean the demand for labour on the part of capital, and the supply of labour by the working men. In colonial countries the law of supply and demand favours the working man. Hence the relatively high standard of wages in the United States. Capital may there try its utmost. It cannot prevent the labour market from being continuously emptied by the continuous conversion of wages labourers into independent, self-sustaining peasants. The position of a wages labourer is for a very large part of the American people but a probational state, which they are sure to leave within a longer or shorter term. To mend this colonial state of things, the paternal British Government accepted for some time what is called the modern colonization theory, which consists in putting an artificial high price upon colonial land, in order to prevent the too quick conversion of the wages labourer into the independent peasant.
But let us now come to old civilized countries, in which capital domineers over the whole process of production. Take, for example, the rise in England of agricultural wages from 1849 to 1859. What was its consequence? The farmers could not, as our friend Weston would have advised them, raise the value of wheat, nor even its market prices. They had, on the contrary, to submit to their fall. But during these eleven years they introduced machinery of all sorts, adopted more scientific methods, converted part of arable land into pasture, increased the size of farms, and with this the scale of production, and by these and other processes diminishing the demand for labour by increasing its productive power, made the agricultural population again relatively redundant. This is the general method in which a reaction, quicker or slower, of capital against a rise of wages takes place in old, settled countries. Ricardo has justly remarked that machinery is in constant competition with labour, and can often be only introduced when the price of labour has reached a certain height, but the appliance of machinery is but one of the many methods for increasing the productive powers of labour. This very same development which makes common labour relatively redundant simplifies on the other hand skilled labour, and thus depreciates it.
The same law obtains in another form. With the development of the productive powers of labour the accumulation of capital will be accelerated, even despite a relatively high rate of wages. Hence, one might infer, as Adam Smith, in whose days modern industry was still in its infancy, did infer, that the accelerated accumulation of capital must turn the balance in favour of the working man, by securing a growing demand for his labour. From this same standpoint many contemporary writers have wondered that English capital having grown in the last twenty years so much quicker than English population, wages should not have been more enhanced. But simultaneously with the process of accumulation there takes place a progressive change in the composition of capital. That part of the aggregate capital which consists of fixed capital, machinery, raw materials, means of production in all possible forms, progressively increases as compared with the other part of capital, which is laid out in wages or in the purchase of labour. This law has been stated in a more or less accurate manner by Mr. Barton, Ricardo, Sismondi, Professor Richard Jones, Professor Ramsay, Cherbuliez, and others.
If the proportion of these two elements of capital was originally one to one, it will, in the progress of industry, become five to one, and so forth. If of a total capital of 600, 300 is laid out in instruments, raw materials, and so forth, and 300 in wages, the total capital wants only to be doubled to create a demand for 600 working men instead of for 300. But if of a capital of 600, 500 is laid out in machinery, materials, and so forth, and 100 only in wages, the same capital must increase from 600 to 3,600 in order to create a demand for 600 workmen instead of 300. In the progress of industry the demand for labour keeps, therefore, no pace with the accumulation of capital. It will still increase in a constantly diminishing ratio as compared with the increase of capital.
These few hints will suffice to show that the very development of modern industry must progressively turn the scale in favour of the capitalist against the working man, and that consequently the general tendency of capitalistic production is not to raise, but to sink the average standard of wages, or to push the value of labour more or less to its minimum limit. Such being the tendency of things in this system, is this saying that the working class ought to renounce their resistance against the encroachments of capital, and abandon their attempts at making the best of the occasional chances for the temporary improvement? If they did, they would be degraded to one level mass of broken wretches past salvation. I think I have shown that their struggles for the standard of wages are incidents inseparable from the whole wages system, that in 99 cases out of 100 their efforts at raising wages are only efforts at maintaining the given value of labour, and that the necessity of debating their price with the capitalist is inherent in their condition of having to sell themselves as commodities. By cowardly giving way in their every-day conflict with capital, they would certainly disqualify themselves for the initiating of any larger movement.
At the same time, and quite apart from the general servitude involved in the wages system, the working class ought not to exaggerate to themselves the ultimate working of these every-day struggles. They ought not to forget that they are fighting with effects, but not with the causes of those effects; that they are retarding the downward movement, but not changing its direction; that they are applying palliatives, not curing the malady. They ought, therefore, not to be exclusively absorbed in these unavoidable guerilla fights incessantly springing up from the never-ceasing encroachments of capital or changes of the market. They ought to understand that, with all the miseries it imposes upon them, the present system simultaneously engenders the material conditions and the social forms necessary for an economical reconstruction of society. Instead of the conservative motto, "A fair day's wage for a fair day's work!" they ought to inscribe on their banner the revolutionary watchword, "Abolition of the wages system!"
After this very long and, I fear, tedious exposition which I was obliged to enter into to do some justice to the subject matter, I shall conclude by proposing the following resolutions:
Firstly. A general rise in the rate of wages would result in a fall of the general rate of profit, but, broadly speaking, not affect the prices of commodities.
Secondly. The general tendency of capitalist production is not to raise, but to sink the average standard of wages.
Thirdly. Trades Unions work well as centres of resistance against the encroachments of capital. They fail partially from an injudicious use of their power. They fail generally from limiting themselves to a guerilla war against the effects of the existing system, instead of simultaneously trying to change it, instead of using their organized forces as a lever for the final emancipation of the working class, that is to say, the ultimate abolition of the wages system.
gnceliqbqonp0bikclo4j9ftg7q8yk5
วิกิซอร์ซ:ผู้ดูแลระบบสิทธิแต่งตั้ง
4
57475
188006
2022-07-23T20:37:22Z
Tris T7
6511
Redirect to Meta
wikitext
text/x-wiki
{{softredirect|Meta:Bureaucrats}}
gl1pj5w3qv69qsid1967n0ptdr9ev1d
วิกิซอร์ซ:ผู้ใช้ที่ถูกบล็อกจากการเข้าถึงข้อมูลไอพี
4
57476
188007
2022-07-23T20:42:56Z
Tris T7
6511
Redirect to Meta
wikitext
text/x-wiki
{{softredirect|Meta:Users_blocked_from_IPInfo}}
mbr6z7e7bp6iy98a7vvzo4w1m3jh6wp
วิกิซอร์ซ:Push subscription managers
4
57477
188008
2022-07-23T20:48:20Z
Tris T7
6511
Redirect to Meta
wikitext
text/x-wiki
{{softredirect|meta:Meta:Push_subscription_managers}}
bsta1a8k8513vtkuq5cyllr0mxwrs2e